เทรดเดอร์ในความหมายที่แท้จริง
- คุณวนนท์มองว่า คือการที่เราสามารถ ซื้อขายได้อย่างเป็นอิสระ เป็นระบบ และยืดหยุ่นกับระบบได้ในระยะยาว
- คุณพีร์ กล่าวว่าบางคนอาจจะมองว่าเทรดเดอร์คือนักพนัน แต่มองว่าถ้าตลาดหุ้นคือคาสิโน เราทำตัวเป็นนักพนันมืออาชีพ คนที่จะเป็นมืออาชีพได้ วิธีคิด กระบวนการคิด ก็จะต่างกับมือสมัครเล่น ดังนั้นมองว่าเทรดเดอร์คือคนที่ทำกำไรจากตลาดที่ผิดปกติ หาโอกาสในการทำกำไรและเลี้ยงชีพได้
- คุณวนนท์ เล่าว่าในยุคแรก ตัวเองเป็นสายเก็งกำไรระยะสั้น นิยามคำว่าระยะสั้นของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป แต่สำหรับคุณวนนท์เองบางที 2 วินาทีก็ขายแล้วเพื่อ Cut Loss ในช่วงแรก กระบวนการยังน้อย รู้แค่ว่าทุนจะต้องอยู่
- คุณพีร์ เล่าว่า เมื่อก่อนเริ่มมาจาก Day Trade เช่นเดียวกัน แต่พอออกมาเป็น Fulltime Trader คือเป็นกราฟผสมพื้นฐาน
- คุณวนนท์เล่าว่าเริ่มรู้จักตลาดหุ้นประมาณปลายปี 2556 ตอนนั้นเราห่างจากคำว่าพื้นฐานมาก รู้ว่าว่ากราฟมันจับต้องได้มากกว่า คิดว่าถ้าเราเห็นภาพซ้ำ ๆ บ่อย ๆ น่าจะมีโอกาสชนะตลาด เราจึงไปสาย Price Pattern จนกระทั่งช่วงต้นปี 2557 หมดตัวจากการที่เราพยายามหาสูตรสำเร็จ ทำให้มุมมองเปลี่ยนไปว่าเราต้องยืดหยุ่น รู้จักประยุกต์ และสะสมประสบการณ์ให้มากยิ่งข้น เราศึกษา Pattern หุ้นที่วิ่งขึ้นแรง ๆ หลาย ๆ ตัวแล้วถอยกราฟไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และหาประเด็นที่สามารถเอาเชื่อมโยงได้ เราเก็บเคสแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนจำ Pattern ได้
- เช่นเดียวกับคุณพีร์ที่เก็บเคส สะสมประสบการณ์ โดยจะหาผู้ชนะในแต่ละปีว่ามีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร โดยดูข้อมูลพื้นฐานเพื่อเอาไปประกอบการเคลื่อนไหวของกราฟ คุณพีร์ออกตัวว่าไม่ได้อ่านงบเก่ง แต่ให้ความสำคัญว่าหุ้นของบริษัทนั้นต้องมีรายได้ กำไร เติบโตต่อเนื่อง สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี แต่บางครั้งเรามองเกมออก แต่ต้องใช้เวลากว่าหุ้นตัวนั้นจะฉายแสง เราก็เอากราฟมาจับแล้วเข้าไปตอนต้นเทรนด์
- คุณวนนท์กล่าวว่า การเทรด ต้องห้ามเลือดให้ได้ก่อน คือซื้อแล้วไม่ลงง่าย หุ้นในตลาดมี 800 ตัวเราต้องการแค่ตัวเดียว ในจังหวะโอกาสที่ดีที่สุด เพราะตอนนั้นเงินยังน้อย เราฝึกฝน ทำซ้ำจนมั่นใจและเขียนแผนในอนาคตได้ว่า กราฟเป็นแบบนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อ
- ด้านคุณพีร์กล่าวว่า ด้วยความรับผิดชอบที่มากขึ้นเพราะมีลูก มีครอบครัว สไตล์การเทรดก็จะไม่ใช่ Day Trade เหมือนสมัยเริ่มแรก เราจะไม่ยุ่งกับหุ้นที่เป็นขาลง จะสนใจแต่หุ้นขาขึ้น มองว่าในตลาดต้องใช้ท่าที่ง่ายที่สุด ท่าที่เราสบายใจที่สุด
- คุณวนนท์เสริมคำว่าท่ายากในตลาดว่าคือการที่เราไม่เล่นหุ้นในจังหวะที่กำลังไหล และไม่สามารถประเมินได้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน หรือการพยายามไปพยากรณ์ว่าตรงนี้คือจุดต่ำสุด ตอนนั้นเราจะรู้สึกกดดัน เพราะราคาที่ไหลรายนาที ดังนั้นเรามีโอกาสมากที่จะตัดสินใจผิดพลาด เมื่อเปรียบเทียบท่าง่าย คือการที่เราถือหุ้นนิ่ง ๆ ตอนตลาดดี ๆ ปัจจัยปลอดโปร่ง เบรคจ่อ ATH แล้ว
- คุณพีร์ ไม่นิยามว่าเทรดเดอร์ต้องเป็นคนใจร้อน กลับกันเทรดเดอร์ต้องมีความอดทน เช่น เราทำการบ้าน จะเห็นว่ามี Pattern ที่เราชอบ แต่เวลายังไม่ใช่ เราก็ต้องรอจนกว่าจะเป็น Timing ที่เหมาะสมบางตัวเรารอครึ่งปี เพราะเราเลือกเล่นในเกมที่เรามีโอกาสชนะมากกว่าแพ้ ถ้าแพ้ ให้เจ็บน้อยที่สุด
- คุณวนนท์เสริมว่า การอดทนคือการรอคอยโอกาสที่คุ้มที่สุด เหมือนเราจะไปล่าเสือแต่ 4 วันแล้วไม่เจอเสือ เจอกวางก่อนก็ยิงกวางแทน กรากฎว่าเห็นเสือนอนอยู่ แต่กระสุนเรามีนัดเดียว ประสบการณ์จะสอนเราเองว่าถ้าเราไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ก็เหมือนเราต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่
- คุณวนนท์ บอกว่าเราต้องไม่ประมาท รู้จัก Cut Loss และดูอารมณ์ตลาดด้วย ช่วงแรกที่คุณวนนท์ไม่ได้ใช้ข่าวมาประกอบมากนักแต่พอเวลาผ่านไป พอร์ตใหญ่ขึ้น จุดเข้าซื้อจึงมีความสำคัญ ก็ต้องฟังข่าวมากขึ้น และหากมีเหตุการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ก็ไม่พยายามหาโอกาสในขณะที่ไม่เจอโอกาสนั้นมาก่อน ต้องถอยออกมาเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม
- คุณพีร์ เลือกหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ส่วนตัวเองเสพข่าวตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ก็จะให้ความสำคัญกับรายตัวและ Price ที่เกิดขึ้นกับกราฟมากกว่า แต่แนะนำว่าเรื่องข่าวก็ต้องรู้ไว้ และอย่ากลัวตลาดเกินไป คนจะยืนระยะได้ยาว ต้องยอมรับว่า ตลาดมี cycle ของมันตลาดยิ่งขาลง มองว่าคือโอกาส เพราะราคาลงมาเกิน Faire Value แล้ว
- คุณพีร์แนะนำว่ารื่องของการทำตามวินัยสำคัญที่สุด ต้องมีแผนและวินัยของตัวเอง เมื่อผิดทางให้ Take Action ให้เร็ว โอกาสขาดทุนหนัก ๆ จะน้อย เราถึงจะมีหน้าตักที่จะสู้ในตัวต่อไปได้ บางคนฝีมือดี แต่มาพังที่ Risk Management ฝีมือมี แต่เงินหาย ก็กระทบสภาพจิตใจ พอสภาพจิตใจไม่ดี แผนจะเสียเลย ยิ่งพยายามจะเอาคืนเร็ว ๆ แผนจะเปลี่ยน
- คุณวนน์แนะนำว่าช่วงแรกที่เข้ามาในตลาด ให้หาจุดอ่อนของตัวเองให้เจอแล้วทำให้ตัวเองไม่ไปใกล้จุดอ่อนนั้น
- คุณวนนท์ให้เป็นหลักคิดว่า หุ้นแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะและแรงจูงใจในการเข้าซื้อต่างกันดังนั้นการขายก็จะต่างกัน
- คุณพีร์ ชี้ว่าถ้าเราดูแค่กราฟ จะรู้ว่ามันขึ้นต่อได้ก็ต่อเมื่อมันขึ้นไปแล้ว หน้างานจริง ๆ ต้องดูหลายอย่าง ส่วนตัวใช้เส้นค่าเฉลี่ยง่าย ๆ ถ้าหลุดก็แปลว่าจบเทรนด์ระยะสั้น
- คุณวนนท์ให้ดูว่าราคาที่มา เป็นราคาที่เคยทำมาแล้วหลายครั้งหรือทำขึ้นใหม่เลย ถ้าเป็นราคาที่จู่ ๆ วิ่งขึ้นมา ก็มีโอกาสไปต่อ และถ้าเป็นราคาที่เคยเล่นมาแล้วอยู่ ๆ มาทำใหม่ อันนี้อาจจะเริ่มลงมา
- คุณวนนท์ บอกว่า ความมั่นใจของเทรดเดอร์สำคัญ เพราะจริง ๆ แล้วปัจจัยที่จะมาเขย่ามีเยอะมากดังนั้น เรามั่นใจ 200% ในการที่จะซื้อ แต่เมื่อซื้อแล้วต้องดูว่าผลลัพธ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไร ถ้าดีก็ทำต่อ ถ้าไม่ก็รีบแก้ไข หรือถ้าเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นอาจจะลด Position หรือปรับ Timing เมื่อปัจจัยเปลี่ยนเราก็ต้องยืดหยุ่น