Oppday Year End 2022 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) TASCO
[TASCO] บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน)
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q1/2023 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) TASCO
Presentation https://weblink.set.or.th/dat/registrat ... -TASCO.pdf
Presentation https://weblink.set.or.th/dat/registrat ... -TASCO.pdf
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q2/2023 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/5781
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/5781
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2566 หุ้น TASCO
ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q3/2023 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6100
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6100
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Year End 2023 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
Presentation https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6862
Presentation https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6862
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
สรุปคลิป Oppday Year End 2023 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
2023 Financial Performance
- รายได้รวม 31,105 ล้านบาท -8.8% YoY
- รายได้ ธุรกิจยางมะตอย 27,605 ล้านบาท -8.06% YoY จากยอดขายที่ปรับตัวลดลงทั้งตลาดในและต่างประเทศ
- รายได้ ธุรกิจก่อสร้าง 3,501 ล้านบาท +3.70% YoY รายได้สูงขึ้นจากสัญญาก่อสร้างและซ่อมบำรุง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- กำไรขั้นต้น 4,138 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 4361 ล้านบาท จากราคาผลิตภัณฑฺยางมะตอยโดยเฉลี่ยลดลงตามราคาตลาด
- อัตรากำไรขั้นต้น 13.3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 13.0% ผลจากกลยุทธ์การเลือกตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,262 ล้านบาท คิดเป็น 4.1% ของยอดขาย
- EBITDA ลดลง มาอยู่ที่ 4,377 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 4,525 ล้านบาท
- กำไรสุทธิ 2,306 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน
- กำไรต่อหุ้น 1.46 บาท
- D/E Ratio ลดลง มาอยู่ที่ 0.4 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจาก Q3 เพราะมีการชำระเงินกู้ยืมระยะสั้นเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
- ROE 14.2%
- ROA 12.2%
- การจ่ายเงินปันผล ทั้งปี 1.25 บาทต่อหุ้น จ่ายไปแล้ว 0.25 บาท เหลืออีก 1 บาท
- ราคาเฉลี่ยลดลงจากปีก่อน Q4 ราคามาอยู่ที่ 82.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- จากความต้องการที่ปรับตัวลดลดทั่วโลก
- การลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความขัดแย้งอิสราเอล ฮามาส ทำให้ราคาผันผวนทั้งปี
- ณ Q4 ราคาขายยางมะตอย 92 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าราคาน้ำมันดิบ 9.3 เหรียญต่อบาร์เรล
- ภาพรวมผลประกอบการบริษัททั้งปีถือว่ายังดี ต่ำกว่าปีก่อนเพียงเล็กน้อย ปีที่ แล้วขายได้ 1.12 ล้านตัน ปีก่อนขายได้ 1.18 ล้านตัน กำไรสุทธิ 2,306 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อยที่ 2,367 ล้านบาท
- ปัญหาที่ไม่สามารถซื้อน้ำมันดิบได้จาก supplier เดิม คือจากเวเนซุเอลา ตั้งเป้าซื้อได้ 4 ลำเรือ ซื้อได้ 3 ลำเรือ แต่ก็เหมือนปีก่อน ๆ ที่เราทราบอยู่แล้วว่าน้ำมันดิบที่ซื้อได้จะลดน้อยลง เราจึงต้องซื้อยางมะตอย ที่เป็นสำเร็จรุปแล้ว ไปขายให้ลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพราะฐานลูกค้าในหลายประเทศยังมีความต้องการยางมะตอยจากเราอยู่
- ปีที่ผ่านมา เราซื้อและขายยางมะตอย ได้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 800,000 ตัน เราจึงยังคงยอดขายยางมะตอยได้ถึง 1.12 ล้านตันในปีที่ผ่านมา
- ตลาดในประเทศ ผลกระทบหลักมาจากรัฐบาลจัดตั้งล่าช้า กระทบงบประมาณปี 2024 ที่อนุมัติล่าช้า ทำให้ไตรมาสสี่ และ ไตรมาสหนึ่งนี้ยอดขายลดน้อยลง
- ธุรกิจก่อสร้าง ผลงานยังดี หลัก ๆ มาจาก 2 โครงการใหญ่ คือทางวิ่งที่ 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ และ การพัฒนาพื้นที่อาคารเทียบเครื่องบินอาคารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ
- ตลาดต่างประเทศ ยอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน โดยเฉพาะ 3 ประเทศที่ดีมาก ๆ คือเวียดนาม อินโดนีเซีย และกัมพูชา
- ปีที่ผ่านมามี KPI 3 ตัว
- ตั้งใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 27% -> เราทำได้ 33%
- ความปลอดภัย -> เราไม่มีการสูญเสียพนักงานจากการทำงานในปีที่ผ่านมา
- การบริหารจัดการที่ดี -> สามารถต่ออายุสมาชิก CAC ได้อีก1รอบ
- ตั้งเป้าซื้อน้ำมันดิบไม่น้อยกว่า 3 ลำเรือ
- ซื้อยางมะตอยสำเร็จรูปจากโรงกลั่นทั้งในและต่างประเทศไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา และขายไม่น้อยกว่า 1,200,000 ตัน
- ตลาดภายในประเทศ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 15% เราอยากทำให้ถึง 20% การจัดสรรงบประมาณที่ล่าช้าปีที่แล้ว จะเริ่มเข้ามาไตรมาสที่สองของปีนี้ และปลายไตรมาสสี่ก็อาจมีตัวเลขไหลเข้ามาเช่นกัน
- ตลาดต่างประเทศ ยังเห็นแนวโน้มที่ดี คาดว่าจะขายได้ไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งเป้าเวียดนามจะมียอดขายสูงขึ้นโดเด่นจากการที่รัฐบาลจะออกแผนก่อสร้างฉบับ 5 ปีออกมา
เป้าหมายยอดขายยางมะตอยปี 2024 ปัจจัยหนุนอะไรบ้าง
- ตั้งเป้าขายได้ 1.2 ล้านตัน สูงกว่าปีที่แล้ว จากมุมมองบวกตลาดภายในประเทศ
- ผลกระทบโดยตรงของราคาน้ำมันดิบต่อราคายางมะตอยมีบ้าง ไม่มาก
- และเราทำสัญญาประกันความเสี่ยงน้ำมันที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ เพื่อป้องกันความผันผวนของราคา
- ผลกระทบมีไม่มาก
- เพราะตลาดต่างประเทศ น้ำมันดิบที่ซื้อเป็นดอลลาร์ ยางมะตอยที่ขายต่างประเทศก็เป็นดอลลาร์
- ส่วนตลาดในประเทศ ซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นในประเทศ ขายเป็นบาทให้ผู้รับเหมาในประเทศ
- เราติดต่อขอซื้อตลอดเวลา แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถซื้อได้เลย เพราะผู้บริหารบริษัทในเวเนซุเอลามีเปลี่ยนแปลง
- ตลาดโลก ถนนคอนกรีตมักใช้ถนนในเมืองเพราะรับน้ำหนักได้ดี ถนนยางมะตอยก็ออกแบบให้รองรับน้ำหนักมากขึ้นได้ และต้นทุนก็ถูกกว่า
- แต่ถนนวิ่งระหว่างเมือง ถนนคอนกรีตมีรอยแตกได้ ถนนยางมะตอยเป็นที่นิยมมากกว่า
- ราคาที่เกาหลีอยู่สูงกว่า
- ราคาตะวันออกกลางต่ำกว่าแน่นอน เพราะ คุณภาพด้อยกว่า และมีค่าขนส่งสูงเลยต้องขายราคาถูกถึงจะมาแข่งขันในภูมิภาคเราได้
- เหมือน 3 ปีที่ผ่านมา
- เรายังคงหาซื้อน้ำมันดิบที่อื่นมาทดแทน
- ธุรกิจยางมะตอยในจีน ถ้าจะส่งออกต้องมีใบอนุญาต
- จากข่าวมีโรงกลั่นยักษ์ใหญ่ในจีนที่เกาะไหลำ อันนั้นเอาไว้เพื่อผลิตยางมะตอยใช้ในจีนและจีนตอนใต้ ยังไม่มีใบอนุญาตส่งออกไปต่างประเทศ
- ตลาดยางมะตอยในจีนมีสองตลาด ตลาดในประเทศใช้ทำถนน local reoad ใช้ยางมะตอยที่ผลิตได้จากโรงกลั่นในประเทศ แต่ถนน first class highway จะนำเข้ายางมะตอยคุณภาพดีกว่าเข้ามาใช้
- ดังนั้นข่าวโรงกลั่นยักษ์ใหญ่ น่าจะกระทบตลาดภายในประเทศมากกว่า
- เรายังเห็นตัวเลขนำเข้ายางมะตอยในจีนยังสม่ำเสมอ
- Gross Profit Margin 5-7%
- Net Profit Margin 2-3%
- หลัก ๆ มาจากธุรกิจยางมะตอย จากเรื่องงบประมาณในไทยที่ล่าช้า
- Demand ในเวียดนามสูงมาก ทำให้การแข่งขันแทบไม่มี มีการแข่งขันเรื่องราคา แต่มีไม่มาก
- เรายังเลือกลูกค้า ไม่จำเป็นต้องไปลดราคาเพื่อแข่งขันอะไร เราไม่ไปตัดราคาแข่งกับยางมะตอยที่คุณภาพต่ำกว่าคุณภาพที่เราส่งออกไปเวียดนาม
- ราคาที่เราขายให้ลูกค้า ขึ้นอยู่กับราคาที่โรงกลั่นขายให้กับเรา แล้วไปบวกค่าบริการต่าง ๆ
- ราคาจะต่ำ สูง กระทบกับเราน้อยมาก เพราะเหมือนเราซื้อมาขายไป
- ปี 2023 อยู่ที่ 468,000 ตัน
- ปี 2024 ตั้งเป้าโตขึ้นไม่น้อยกว่า 15%
- เรามีตลาดพอสมควร มีฐานลูกค้ากระจายหลายประเทศ
- ตั้งเป้าขาย 1,2000,000 ตัน ถ้าซื้อยางมะตอยได้จากโรงกลั่น 800,000 ตัน เราจะผลิตเอง 400,000 ตัน
- ยางมะตอยที่เรากลั่นเองจากโรงกลันเรา ราคาจะถูกกว่าไปซื้อจากโรงกลั่นอื่น
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q1/2024 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6685
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6685
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q2/2024 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://www.set.or.th/th/market/product ... asco/price
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://www.set.or.th/th/market/product ... asco/price
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
สรุปคลิป Oppday Q2/2024 TASCO บมจ. ทิปโก้แอสฟัลท์
ผลประกอบการ Q2/2024
- บริษัทมีรายได้รวม 5,482 ล้าน ลดลง 32% ถ้าเทียบกับไตรมาสสองของปีที่แล้ว
- มียอดขายยางมะตอย 230,000 ตัน
- มีรายได้จากการขายยางมะตอย 15,016 ล้านบาทซึ่งลดลง 30% ถ้าเทียบกับไตรมาสสองของปีที่แล้ว
- หลัก ๆ การลดลงเกิดจากปริมาณการขายที่ลดลงต่อเนื่อง เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากไตรมาสหนึ่ง ที่งบประมาณของของทางรัฐบาลล่าช้า ซึ่งได้รับการอนุมัติเดือนเดือนเมษายน
- ผู้รับเหมาซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ได้เข้าประมูลงาน แล้วเซ็นสัญญาในเดือนพฤษภาคมเพราะฉะนั้น ปริมาณการขาย ความต้องการของยางมะตอยจะมาเริ่มกลับสู่สภาวะปกติในเดือนมิถุนายน
- ราคาขายยังอยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาสหนึ่งของปีนี้ แล้วราคาเริ่มขยับขึ้นในเดือนมิถุนายน หลังจากที่ความต้องการการใช้ยางมะตอยเพิ่มสูงขึ้นในเดือนมิถุนายน
- สําหรับธุรกิจก่อสร้างมีรายได้ 467 ล้าน ลดลง 45%ไตรมาสสองของปีที่แล้ว
- ธุรกิจก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการที่งบประมาณของรัฐบาลล่าช้า เราได้เข้าประมูลงาน แล้วได้งานมา 1,700 ร้อยล้านซึ่งเป็นงาน ซ่อมบํารุงแล้วงานสร้างถนนเราจะเริ่มทํางานในไตรมาสสาม
- กําไรขั้นต้นอยู่ที่ 492 ล้าน หลัก ๆ จะมาจากปริมาณการขายที่ลดลง แล้ว Gross MArgin ที่ลดลง ไตรมาสสองปีนี้อยู่ที่ 9.8% ดรอปไป 5% ถ้าเทียบกับไตรมาสสองปีที่แล้ว จากเหตุผลที่ได้นําเรียน
- Average Ice Brent ยังอยู่ในระดับที่สูงเฉลี่ยที่ 85 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาสที่สอง
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 280 ล้าน ลดลง 13.6% ถ้าเทียบกับไตรมาสสองปีก่อนหน้า อัตรา SG&A ต่อยอดขายอยู่ที่ 5.1% ลดลงจากไตรมาสหนึ่ง
- บริษัทยังมีมาตรการในการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด
- EBITDA อยู่ที่ 542 ล้าน
- Net Profitอยู่ที่ 99 ล้าน ลดลงจากปริมาณการขายที่ลดลงและ Margin ที่ต่ำกว่าไตรมาสสองของปีก่อน
- D/E อยู่ที่ 0.56 เพิ่มขึ้น เนื่องจาก Short Term Loan ในเมืองไทยที่Support ตัว Working Cap เรายังสต็อกสินค้าในจํานวนที่สูงอยู่
- ROE อยู่ที่ 3.4
- ROA อยู่ที่3.6 อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าไตรมาสสองของปีที่แล้ว
- Dividend เราจ่ายเดือนเมษายน Payout อยู่ที่ 86% แล้วเราอยู่เป็นหนึ่งใน SET ที่เป็ น High Dividend ในปีนี้ด้วย
- ตัวเลขประมาณการที่บริษัทประมาณการของงบรัฐบาลที่ใช้ในการซ่อมบํารุงแล้วสร้างถนน โดยรวมอยู่ที่ 180,000 ล้าน แบ่งเป็นงบซ่อมบํารุงอยู่ที่ 86,000 ล้านบาท งบสร้างถนนอยู่ที่ 94,000 ล้านบาท งบประมาณนี้ ได้รับการอนุมัติในช่วงเดือนเมษายนบริษัทได้ประมูลมา 1,700 ล้าน เป็นทั้งงานสร้างถนนแล้วก็งานซ่อมบํารุง แล้วกลุ่มขายยางมะตอย Volume เริ่มที่จะกลับมา เป็น Peak Season ในเดือนมิถุนายน
- สัดส่วนปริมาณการขายในประเทศไทยและในต่างประเทศ จะเห็นว่า ที่ผ่านมาในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการขายในประเทศไทยจะอยู่ในระดับที่สูง ภาพปีนี้จะกลับกัน เนื่องจากว่างบประมาณจากรัฐบาลล่าช้า ครึ่งปีหลังเราคาดว่า ปริมาณการขายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าครึ่งปีแรก
- สําหรับ International ส่วนใหญ่ครึ่งปีแรกจะเป็นปริมาณการขายที่ค่อนข้างที่จะเป็นLow Season ถ้าครึ่งปีหลังก็จะกลับมาเป็น High Season ซึ่งเราคาดว่าในปีนี้สถานการณ์ของ International Market จะเป็นเหมือนกับปีที่ผ่านมา
- จะเห็นว่า ICE Brant ยังปรับสูงขึ้นในไตรมาสสอง
- ไตรมาสสามที่เดือนกรกฎาคม ICE Brant ได้ปรับลงมาตอนนี้อยู่ที่ประมาณสัก 80 เหรียญต่อบาร์เรล
- ขณะที่ราคายางไตรมาสสองมีราคาที่ใกล้เคียงกับไตรมาสหนึ่ง เนื่องจากว่าราคาเพิ่งเริ่มปรับขึ้นจริง ๆ เดือนมิถุนายน
- แต่ว่าถ้าดูตัวเลขตอนกรกฎาคม ราคาขายยางมะตอยเฉลี่ย ได้ปรับสูงขึ้นตอนนี้สูงขึ้นกว่าราคาเฉลี่ยของ ICE Brant ณ ปัจจุบันนี้
- บริษัทได้เข้าร่วมประเมินความความยั่งยืน อันแรกเป็นการประเมินการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจําปี ตามแนวทาง AGM Checklist บริษัทได้รับคะแนนร้อยคะแนนเต็มจากการประเมินโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
- นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าร่วมประเมิน CGR ซึ่งเป็นการประเมินการกํากับดูแลกิจการเข้าร่วมประเมิน ESG ของทางตลาดหลักทรัพย์แล้วเข้าร่วมประเมิน Coperate Sustainability ของ S&P Global ผลจะออกในไตรมาส 4
- นอกจากนี้บริษัทได้ทําการทบทวน Double Materiality เป็นประเด็นสําคัญที่ประเมินผลกระทบด้านความยั่งยืน ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ได้เป็นตัวเงิน ที่จะเป็นมีผลต่อทั้งองค์กรแล้วผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควบคู่กันไป
- ทั้งนี้ บริษัทได้วางกรอบการดําเนินงานด้านความยั่งยืนผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก
- อันแรกเป็นมิติทางเศรษฐกิจ บริษัทมุ่งมั่นที่จะใช้นวัตกรรมในการเป็นขับเคลื่อนธุรกิจ
- อันที่สองคือมิติทางด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศ การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และมิติที่ 3 คือมิติทางด้านสังคม บริษัทได้มุ่งมั่นในการสร้างตระหนักความปลอดภัยทั้งพนักงานแล้วกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมทั้งชุมชนแล้วคู่ค้า
- โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายละเอียดที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายในการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะลดสาม 36% โดยที่ใช้ปี 2020 เป็นปีฐาน จะพยายามลด 36% ให้ได้ภายใน 5 ปี
- โดยบริษัทได้จัดทําโครงการที่จะมาช่วยในการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการติดตั้งโซลาร์รูฟ โครงการที่จะเปลี่ยนพลังงาน Boiler จากดีเซลไปเป็นอิเล็กทริกโดยใช้โซลาร์พาวเวอร์ มีโครงการที่จะเปลี่ยนดีเซลที่ตอนนี้เราใช้ในการทิปดิ้งแทงก์อยู่มาเป็น LNG โครงการที่จะทยอยเปลี่ยนฟีด รวมทั้งทรัค ที่ใช้ขนส่งเป็นอิเล็กทริค นอกจากนี้เรายังร่วมมือกับทางโลจิสติกส์พาร์ทเนอร์ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขนส่งยางมะตอยให้เราด้วย
- น้ำมันดิบ คาดหวังที่จะครึ่งปีหลังนี้เราสามารถที่จะซื้อน้ํามันดิบได้ อย่างแรกที่เห็นเลยราคาดิบน้ํามันดิบในตลาดโลกตอนนี้ลดลงมาแล้ว หรือว่าอยู่ทรงทรงในที่เดิมเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สอง แต่ในเวลาเดียวกันราคาขายยังมะตอยในภูมิภาคนี้ได้ขึ้นมาค่อนข้างมาก เปรียบเทียบให้เห็นเมื่อตอนต้นปีราคาขายที่อยู่ที่ประมาณ 400 เหรียญต่อตัน ตอนนี้อยู่ที่ 440-445 เหรียญต่อตัน แสดงว่าราคาขายได้ขึ้นมาแล้ว ดังนั้นเราน่าจะมีความสามารถในการซื้อน้ํามาดิบป้อนเข้าโรงกลั่นเราได้ในครึ่งปีหลังได้มากกว่าครึ่งปีแรก
- ตลาดภายในประเทศ เราเชื่อว่าเราได้เห็นแล้วว่ายอดขายได้เติบโตมาอย่างเห็นได้ชัดอย่างโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดในเดือนมิถุนายนต์ที่ผ่านมา แล้วต่อเนื่องมาในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เราเชื่อว่ายอดขายจะกลับมาเป็นปกติ ถ้าเรามองในภาพทั้งปี เราเชื่อว่าความสามารถในการขาย สัดส่วนแบ่งทางตลาดของบริษัทยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ฉะนั้นเราเชื่อว่ายอดขายทั้งปีถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างปีนี้กับปีที่แล้ว จะเท่ากันหรือไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว
- ตลาดต่างประเทศ เราเชื่อว่ายอดขายยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทั้งไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 แต่สิ่งหนึ่งที่จะดีขึ้นมาถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาสที่หนึ่ง และไตรมาสที่สองที่เห็นชัดเจนคืออะไรคือราคาขายที่จะสูงขึ้น และความสามารถในการทํากําไร เราเชื่อว่าจะมีความสามารถในการทํากําไรที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ราคาขายที่เป็นมาร์กเกอร์ที่มีการประกาศที่ตลาดสิงคโปร์นั้นสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน ดังนั้นเราเชื่อว่าตลาดต่างประเทศถึงแม้ว่ายอดขายจะเท่าเดิมแต่ความสามารถในการทํากําไรจะมีสูงขึ้น
- สรุปผลประกอบการในไตรมาสที่สอง ผลกระทบต่อผลประกอบการเราในไตรมาสที่สอง ยังอยู่ถือว่าอยู่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อปีที่แล้ วโดยเฉพาะในทุกทุกไตรมาสเลย เหตุผลหลัก ๆ มาจากสองเหตุการณ์ เรื่องแรก การขายของกลุ่มบริษัทของเรามีลูกค้าอยู่สองกลุ่มด้วยกันคือการขายภายในประเทศแล้วการขายต่างประเทศ
- การขายภายในประเทศ ในไตรมาสที่สองเรายังขายได้น้อยอยู่เพราะว่างบประมาณแผ่นดินที่ใช้ออกมาให้กับทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้ในการเรียกประมูลผู้รับเหมา เพื่อใช้ในการก่อสร้าง แล้วซ่อมบํารุงถนน งบประมาณเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แล้วเริ่มมีการประกวดราคาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราเริ่มที่จะเห็นจริง ๆ คือยอดการขายหรือความต้องการยังมะตอยที่มีความต้องการใช้ในประเทศไทยสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม โตมาเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด อันนั้นคือปัจจัยที่หนึ่ง
- หมายความว่าในไตรมาสที่สองยอดขายยังถือว่าเป็นอยู่ใน Low Season อยู่เพราะว่าเงินงบประมาณยังไม่ได้จัดสรรลงมาเต็มที่ทําให้ไม่มีการประมูล ดังนั้นเป็นถือว่าเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้ยางมะตอยน้อย เราเลยขายน้อยลงในในไตรมาสที่สองต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่หนึ่ง ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเรื่องของช่วง Seasonality ของความต้องการใช้ยางมะตอยในการทําถนนในประเทศไทย
- ปัจจัยที่สองคือเรื่องของการขายภายในต่างประเทศ ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกถ้าเปรียบเทียบกับราคาขายซึ่งเป็นมาร์กเกอร์ในภูมิภาคนี้ ถ้าไปดูไตรมาสที่หนึ่งและ ไตรมาสที่สอง ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกได้มีการเติบโตขึ้นมาเล็กน้อยสูงขึ้นมาเล็กน้อย จากไตรมาสที่หนึ่งอยู่ที่ 81.8 เหรียญต่อบาร์เรล ไตรมาสที่สองนี้อยู่ที่ 85 เหรียญต่อบาร์เรลโตขึ้นมาพอสมควร
- แต่ดูที่ราคาขายเฉลี่ยในภูมิภาคนี้ยังอยู่ที่เดิม 78.4 gหรียญต่อบาร์เรลทั้งไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สองจะสังเกตว่าราคาน้ํามันดิบขึ้นแต่ราคาขายในภูมิภาคนี้ยังทรงทรงอยู่
- นั่นคือเหตุผลที่มีสองเรื่องที่กระทบกับที่กลุ่มบริษัทของเรา เรื่องแรกเราไม่สามารถที่จะซื้อน้ําดิบป้อนเข้าโรงกลั่นเราได้เพราะว่าอะไรราคาน้ําดิบในตลาดโลกแพงขึ้นมาแต่ราคาขายยางมะตอยในตลาดภูมิภาคบ้านเราซึ่งเป็นตลาดหลักของกลุ่มของบริษัทเหล่านั้นยังราคาที่เดิม ดังนั้นหมายความว่าต้นทุนน้ํามันดิบสูงขึ้น เราขายได้ต่ำลง ความสามารถในการที่ไปประมูลหรือว่าซื้อน้ํามันดิบในตลาดโลกเพื่อมาป้อนที่โรงกลั่นของเราเราไม่สามารถซื้อได้ในไตรมาสที่สองเรื่องที่สองคือว่าการขายไปยังต่างประเทศราคาเนื่องจากว่ายังต่ำอยู่ในไตรมาสที่สอง เราจึงได้ราคาที่น้อยลง ดังนั้นความสามารถในการทํากําไรในตลาดต่างประเทศในไตรมาสที่สองถือว่ายังน้อยอยู่ทั้งที่ต้นทุนนี้สูงขึ้นมา เป็นสองปัจจัยหลักที่มีผลกระทบโดยตรงกับผลประกอบการของเราในไตรมาสที่สอง
- ในสองวันที่ผ่านมาทางบริษัทได้รับคําถามเข้ามาเข้ามาค่อนข้างจะมากโดยเฉพาะเรื่องของว่าผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ ถามว่าจะมีผลกระทบอะไร ต่องบประมาณแผ่นดินของไทยหรือไม่ในการจัดสรรในปีโดยเฉพาะในปีนี้ 2567 ต้องต้องขออนุญาตเรียนอย่างนี้ว่า ไม่มีเพราะว่าเงินงบประมาณแผ่นดินของปี 2567 ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสรรค่อนข้างจะพอสมควรแล้วเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบ
- ในส่วนของปี 2568 รออยู่ ทุกท่านอาจจะทราบอยู่แล้ว ว่าการพิจารณาของบวกประมาณปี 2568 ได้ผ่านวาระแรกมาแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างที่จะอนุมัติในวาระที่สองและที่สาม ทีนี้ขึ้นอยู่แล้วว่ารัฐบาลคณะใหม่จะมี จะหรือว่าเงินงบประมาณปี 68 นี้จะได้รับการอนุมัติเมื่อไหร่ ทางบริษัทเชื่อว่าถ้าเงินงบประมาณในปี 2568 ได้รับการอนุมัติได้ทันในเดือนกันยายนนี้ หมายความว่าเงินประมาณที่จะจัดสรรลงมากับทางส่วนราชการจะทันต่อเนื่องตั้งแต่วันที่หนึ่งตุลาคมซึ่งเป็นปีงบประมาณของประเทศไทยเป็นต้นไป
- ถ้าถามว่า ผลกระทบที่กลับมาที่กลุ่มบริษัทของเราคืออะไร หมายความว่างานหรือเงินงบประมาณจะลงไปยังส่วนราชการ เชื่อว่าจะเป็นปลายไตรมาสที่ 4 ไม่ว่าเป็นเดือนพฤศจิกายนหรือเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ดังนั้น ถ้าเป็นตามนั้นจริงหมายความว่าจะมีการใช้เงินงบประมาณอย่างต่อเนื่อง หมายความว่าจะมีความต้องการใช้ยางมะตอยต่อเนื่องในตลาดประเทศไทย
งบประมาณการลงทุนในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง
- เท่ากับปีที่แล้วเลย เราได้ควบคุมงบประมาณการลงทุนในสองสามปีที่ผ่านมาให้เป็นไปตามความจําเป็นจริง ๆ ดังนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำถ้าเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้หลาย ๆ ปี ดังนั้นการลงทุนในปีนี้ใกล้เคียงมากเลยกับปีที่แล้ว
- ได้รับจากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นไปแล้ว ถ้าจําไม่ผิดประมาณ 900 กว่าล้าน แต่เราเชื่อว่าเราจะควบคุมให้ใช้ได้น้อยกว่า 900 กว่าล้านบาทต่อปีในปี 2024
- Contract Assets คือตัวที่เรารอที่จะบิลลิ่งของงานก่อสร้าง
- Contract Liabilities คือเป็นเงินเงินรับล่วงหน้าสําหรับธุรกิจก่อสร้าง
- หลัก ๆ ยังเป็น Key Market เรา คือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย เวียดนาม
- เราตั้งใจว่าจะลดลดจาก ณ ปัจจุบันให้ใกล้เคียงกับของสิ้นปีที่แล้ว
- มีบางโครงการที่เราขยายระยะเวลาการทํางานแล้วอยู่ในช่วงระหว่างเจรจาว่าว่าเราจะสามารถที่จะเก็บค่าเคได้หรือไม่
- ตกลงกันมาตั้งแต่ปี 2022 เป็นเรื่องของเรื่องของโควิดที่มีการขยายระยะเวลาสัญญาของงานก่อสร้าง ถ้าทุกท่านจําได้อย่างเช่นทุกธุรกิจก่อสร้างของเราอย่างเช่นเราไปประมูลงานเรื่องของการก่อสร้างทางวิ่งที่สามสนามบินสุวรรณภูมิ หรือว่าการก่อสร้างถนนสายอื่นแล้วแต่ ในปี 2019 -2020 ที่เราประมูลได้ไว้ก่อนหน้านั้น ปรากฏว่ามีเหตุการณ์เรื่องของโควิดเกิดขึ้น ในช่วงนั้นทางบริษัททุกบริษัทถูกให้ขอให้หยุดการทํางานเพื่อลดการแพร่กระจายของโควิดไป มีช่วงระยะเวลาอยู่หลายเดือนอยู่เหมือนกัน แล้วทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้อนุมัติให้ขยายสัญญาการก่อสร้างของถนนพวกนั้นออกไป แต่เพิ่งมาประกาศตอนนี้เท่านั้นเอง มีหลายโครงการการก่อสร้างในช่วงนั้นมีการขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปทุกสัญญาเลย
- น่าจะภายในเดือนถึงสองเดือนนี้ ส่วนใหญ่ในงานก่อสร้างจะใช้เวลาสองถึงสามปี ดังนั้นการรับรู้รายได้จะเป็นงวดงานจะเริ่มทยอย เชื่อว่าเริ่มรับรายได้เข้ามาตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาก้อนแรก
- สัดส่วนรายได้ในประเทศน้อยกว่าต่างประเทศ เพราะไตรมาสหนึ่งและสองเป็นช่วง Low Season โดยปกติแล้วไม่ได้เปรียบเทียบที่รายได้แต่เปรียบเทียบที่ sale volume ทั้งปีในประเทศจะขายประมาณ 500,000 ตันและต่างประเทศที่ 600,000-700,000 ตัน ซึ่งค่อนข้างทรงตัวในระดับนี้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
- เฉลี่ยทั้งในและต่างประเทศที่ 3% กว่า ๆ
- 90% เป็นในไทย
- 10% ที่อินโดนีเซีย
- ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะ TASCO มีเรือขนส่งของตัวเอง กลับกันถ้าค่าน้ำมันแพงขึ้นเราสามารถชาร์จค่าระวางเรือมากลูกค้าได้เพิ่มขึ้น จะเห็นว่าผลการดำเนินงานธุรกิจขนส่งทางเรือทางเราค่อนข้างดีในปีที่แล้วและต่อเนื่องมาถึงปีนี้
- ประเด็นทะเลแดงไม่กระทบเพราะเราไม่ผ่านเส้นทางนั้น
- เราไม่เห็นผลกระทบด้านนี้ เพราะยางมะตอยเป็นสินค้าควบคุม จะเข้ามา ต้องมี License อีกทั้ง จีนยังเป็นผู้นำเข้าหลักยางมะตอยของภูมิภาคนี้
- ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณแผ่นดินของปี 2568 ได้รับอนุมัติได้ทันปีงบประมาณแผ่นดินของปี 2568 หรือไม่คือได้รับการอนุมัติก่อนวันที่หนึ่งตุลาคมหรือเปล่า
- ถ้าได้รับอนุมัติก่อนยังมีความเชื่ออยู่ว่าจะมีความต่อเนื่องของการจัดสรรงบประมาณออกมาหรือว่ามีความต้องการใช้ยางมะตอบเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ปลายปีต้นปีหน้า
- ถ้าทุกท่านสังเกตกลับไปย้อนหลังดูได้ ว่ายอดขายของเราปกติของเรายอดขายภายในประเทศในครึ่งปีแรกจะค่อนข้างสูงส่วนครึ่งปีหลังโดยปกติแล้วจะต่ำ
- แต่ปีนี้ถ้าท่านไปดูนะครึ่งปีแรกนี้น้อยมากเลยหรือว่าเป็นปีที่เชื่อว่าเป็นปีที่ไม่ปกติเลยเพราะว่าการจัดสรรเงินงบประมาณช้าไปถึง 7 เดือน เลยทําให้ครึ่งปีแรก ความต้องการใช้ยังมะตอยในประเทศไทยต่ำ ดังนั้น เงินงบประมาณจํานวนเท่าเดิมไม่ได้แตกต่างไปเลย แต่ว่าการจัดสรรลงมามันล่าช้าทําให้มีการใช้เงินงบประมาณหรือความต้องการใช้ยางมะตอบจะล่าช้าตามไปด้วย ฉะนั้นยอดขายเราเชื่อว่า จะมีเติบโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสสามต่อเนื่องไปที่ไตรมาสสี่
- แล้วถ้าเกิดเงินเข้ามาปี 2568 มาได้ต่อเนื่อง หมายความว่าเราจะเห็นในการใช้ความต้องการใช้ยางมะตอบอย่างต่อเนื่อง อดขายของเราจะมีความต่อเนื่องไปยังไตรมาสหนึ่งต่อไป ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้