Oppday Q3/2023 SIRI แสนสิริ
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6171
[ SIRI ] บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday year-end 2023 SIRI บมจ. แสนสิริ
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/7489
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/7489
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
Oppday Q2/2024 SIRI บมจ. แสนสิริ
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://www.set.or.th/th/market/product ... y-snapshot
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://www.set.or.th/th/market/product ... y-snapshot
-
- Posts: 3145
- Joined: Mon Apr 17, 2023 1:05 pm
สรุปคลิป Oppday Q2/2024 SIRI บมจ. แสนสิริ
ผลการดําเนินงาน Q2/2024
- บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,615 ล้านบาทลดลง 4% จากปีก่อนสาเหตุของการลดลงมา จากหลายหลายปัจจัย
- ปัจจัยแรกเป็นเรื่องของการรับรู้กําไรจากการขายที่ดินที่น้อยกว่าปีที่แล้ว อย่างปีที่แล้วรับรู้กําไรไปประมาณ 503 ล้านบาท แต่ว่าไตรมาสนี้รับรู้ที่ 89 ล้านบาท
- ปัจจัยสอง คือรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่เป็นเจ้าของ ลดลงเนื่องจากว่ามีการปิดรีโนเวทโรงแรมหลายแห่ง ทั้งหมด 3 แห่ง มีโรงแรมที่นิวยอร์กปิดรีโนเวทไปในเดือนมกราคมคาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนนี้ และ อีกสองโรงอยู่ที่ประเทศไทยคือที่เขาใหญ่และหัวหินที่มีการปิดปรับปรุงในระหว่างไตรมาส เลยทําให้ไม่ 3 ารถที่จะรับรู้รายได้จากโรงแรมเหล่านี้ได้
- ปัจจัยที่ 3 คือรายได้จากค่าบริหารธุรกิจหรือว่า Business management ที่ลดลง เนื่องมาจากว่าในช่วงไตรมาสสองปีที่แล้ว ได้เริ่มมีการบันทึก Incentive fee จากโครงการบูราสิริกรุงเทพกรีฑา ที่ทํา JV เป็นครั้งแรกซึ่งไม่เคยมีการรับรู้มาเลยจะมียอด Incentive fee ที่สะสมมาเป็นจํานวนหนึ่ง ในขณะที่ตามปกติแล้วอย่างในไตรมาสหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันจะมีรับรู้ Incentive fee ตามยูนิตที่มีการโอนจริงในไตรมาสนั้นนั้นเลยทําให้ Incentive fee ของไตรมาสสองปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วจะมีสัดส่วนที่ลดน้อยลง
- แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรายได้จากการขายโครงการหรือว่าตัวโปรเจกต์เซลล์ยังคงเติบโตได้ 6% YoY อยู่ที่ 8,486 ล้านบาท
- ส่วนตัว GP Margin จาก Core Business คือไม่ได้รวมรายการกําไรพิเศษต่างต่างจะอยู่ที่ 31% และ GP จาก Project sale อยู่ที่ 33.2%
- ส่วนในฝั่งของค่าใช้จ่าย SG&A ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18.7% ของรายได้รวม
- ส่วนแบ่งกําไรจากโครงการ JV ในไตรมาสนี้ ต้องบอกว่าเติบโตขึ้นมากกว่า 200% จาก 66 ล้านบาทในปีก่อนขึ้นมาเป็น 221 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเริ่มโอนโครงการ The Line Vibe ซึ่งเป็นโครงการ JV กับทางกลุ่ม BTS ที่เริ่มโอนในไตรมาสนี้ และกําไรสุทธิในไตรมาสสองอยู่ที่ 1,387 ล้านบาท ลดลง 14% จากปีก่อนปัจจัยหลักมาจากการลดลงของกําไรจากการขายที่ดินที่รับรู้น้อยกว่าปีก่อน
- หากดูกําไรจากการดําเนินธุรกิจหลัก ยังคงเติบโตขึ้นที่ 8% อยู่ที่ 1,315 ล้านบาท
- หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ณ สิ้นไตรมาสสองอยู่ที่ 79,892 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกู้อยู่ที่ 62% ส่วน Gearing อยู่ที่ 1.62 เท่า และ Net Gearing ที่ 1.56 เท่า
- Average cost of fund ณ สิ้นไตรมาสสอง อยู่ที่ 4.15%
- รายได้รวมสะสมอยู่ที่ 19,784 ล้านบาท โตขึ้น 7% จากปีก่อน
- GP Margin ทั้งในส่วนของ Core Business และ Project Sale ยังถือว่ารักษาระดับได้ทรงตัวจากปีก่อน
- ค่าใช้จ่าย SG&A ในครึ่งปีแรก ต้องบอกว่าจะสูงกว่าที่ผ่านมาเนื่องมาจากว่าในช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมาของปีนี้มีการปรับสัดส่วนการตั้งสํารองในเรื่องของโบนัสของพนักงานเพิ่มมากขึ้น ตามผลการดําเนินงานของช่วงไตรมาสหนึ่งที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาสหลังจากนั้นอย่างไตรมาส 2 ไตรมาส 3 ตัว SG&A น่าจะกลับมาสู่ภาพปกติ อย่างงในไตรมาสสองว่านั่นคือกลับมาสู่ในระดับปกติแล้วที่ประมาณ 18% ของรายได้รวม
- ส่วนแบ่งกำไรจาก JV โตขึ้น 144% มาจากการเริ่มโอนโครงการ The Line Vide
- กําไรสุทธิของช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,702 ล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน เนื่องมาจากว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว มีการรับรู้กําไรเป็นกําไรพิเศษรวมกันประมาณพันกว่าล้าน มาจากกําไรจากการขายโรงเรียนสาธิตพัฒนา และกําไรจากการขายที่ดินเข้าโครงการ JV ด้วย
- แต่ถ้าดูที่ตัว Core Profit ถือว่าเติบโตได้โตขึ้น 5% จากปีก่อน อยู่ที่ 2,408 ล้านบาท
- ในช่วงครึ่งปีแรกเราเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งหมด 20 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท
- แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ คอนโดมิเนียม 8 โครงการ
- จากแผนการเปิดโครงการในปีนี้ว่าจะเปิดทั้งหมด 46 โครงการมูลค่า 61,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันนี้ยังยืนที่แผนนี้อยู่
- จะแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 26 โครงการ คอนโดมิเนียม 20 โครงการ
- โดยในปีนี้จะเพิ่มโฟกัสไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ตามเมืองที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หัวหิน หรือว่าพัทยา เป็นต้น
- ในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 20 โครงการ ในครึ่งปีหลังมีโครงการที่เปิดตัวอีกถึง 26 โครงการ มูลค่ารวมรวมกันประมาณ 40,000 ล้านบาท
- โครงการแรกจะเป็นCommunity แห่งใหม่ของชื่อว่า SANSIRI 10 EAST โดย Community นี้ ถือว่าเป็นการรวมตัวกันของบ้านเดี่ยวระดับ Premium Luxury ของแสนสิริเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งต้องบอกว่าโพรดักส์ในเซ็กเมนต์นี้ เป็นโปรดักส์ที่เป็นเซ็กเมนต์ที่ลูกค้าให้การยอมรับ และถือว่าเป็นหนึ่งใน Key Success ของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Branding ที่มีความแข็งแกร่ง หรือว่าคุณภาพเมื่อมีปัญหาไม่เคยทิ้งลูกค้า เรื่องของดีไซน์ที่มีการทํา R&D ตลอดเวลา ให้โพรดักส์ออกมาตรงใจกับกลุ่มลูกค้ามากที่สุดแล้วเรื่องสุดท้ายคือเรื่องที่สําคัญมากคือบริการหลังการขาย มี Plus Property ซึ่งดูแลการบริการหลังการขาย ดูแลในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางหรือว่าบรรยากาศโดยรอบให้โครงการยังดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ ตัวนี้เพื่อเป็นกาเพิ่มมูลค่าของตัวโครงการในอนาคต
- Community SANSIRI 10 EAST นี้ จะตั้งอยู่ตรงบางนา ตราด กม.10 บริเวณแห่งนี้รายล้อมไปด้วยฟาซิลิตี้ต่างต่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ ศูนย์การค้าสนามกอล์ฟหรือว่าสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยพื้นที่ขนาด 165 ไร่ที่จะนํามาทําเป็น Community แห่งนี้วางแผนที่จะพัฒนาโครงการขึ้นมา 4 โครงการมูลค่ารวม ประมาณ 18,000 ล้านบาท
- 4 โครงการนี้ จะประกอบไปด้วยโครงการแรกคือบ้านแสนสิริ ซึ่งถือว่าเป็น Flagship โปรเจกต์ของเราเลย เป็นโปรดักซ์ที่อยู่ในระดับ Ultra Luxury ที่สุดในพอร์ตโฟลิโอของเรา ถัดมาจะเป็นบ้านเดี่ยว Luxury แบรนด์ใหม่ชื่อว่า SIRINSIRI อีกสองแบรนด์เป็นแบรนด์ที่ทุกท่านน่าจะคุ้นเคยกันคือ NARASIRI และ SETTHASIRI
- โดยจะนําร่องเปิดตัว SETTHASIRI บางนา กม.10 ก่อนในปีนี้ แ
- ถัดมาเป็นบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ ชื่อแบรนด์ว่า NARINSIRI เป็นบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง
- ถามว่าทําไมถึงมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเติมเต็มช่องว่างทางด้านของราคาในพอร์ตโฟลิโอของอย่าง NARINSIRI จะอยู่เหนือกว่า SETTHASIRI แต่ว่าจะอยู่ใต้NARASIRI เพราะว่าอย่างตอนนี้ NARASIRI ราคา เริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท ส่วน SETTHASIRI จะอยู่ในช่วงประมาณ 15 ถึง 30 ล้าน ดังนั้น NARINSIRI จะเข้ามาเติมแกปราคาในช่วง 40-80 ล้านบาท
- โดยปีนี้มีแพลนที่จะเปิด NARINSIRI สองโครงการคือ ในบริเวณกรุงเทพกรีฑาคอมมูนิตี้ของ และอีกโครงการนึงคือพระราม 9 กรุงเทพกรีฑา
- ปีนี้จะ Launch คอนโดถึง 20 โครงการ มีทั้งในกรุงเทพฯแล้วต่างจังหวัด
- แต่อันนี้จะเป็นไฮไลท์ของโครงการในกรุงเทพฯ อย่างโครงการทางซ้ายมือจะชื่อว่า Via 61จะอยู่ที่สุขุมวิท 61 อยู่ใจกลางเมืองเลยใกล้กับซอยเอกมัย โดยโครงการนี้ถือว่าเป็นคอนโดในระดับพรีเมี่ยม แล้วมีเพียงแค่ 61 ยูนิตเท่านั้น
- ส่วนโครงการทางด้านขวามือชื่อว่า Pynn Soonvijai ซึ่ง Pynn เป็นแบรนด์ใหม่ที่เราเพิ่งจะ Launch ไปในไตรมาสสองซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งโครงการมีอยู่ประมาณ 36 ยูนิตตอนนี้ ขายไปได้แล้ว 70-80% มาจึงมาต่อยอดแบรนด์ Pynn ในไตรมาส 3 โดย Pynn คอนเซ็ปต์คือจะเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise ขนาดไม่ใหญ่มีไม่กี่ยูนิตอย่าง Pynn Soonvijai จะมีเพียงแค่ 18 ยูนิตเท่านั้นเองตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนนานาชาติ Shrewbury และ โรงพยาบาลกรุงเทพ
- ปีนี้จะเพิ่มโฟกัสไปยังตลาดต่างจังหวัด ตามเมืองท่องเที่ยวมากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าภูเก็ตเป็นหนึ่งใน strategic location ของเรา เรามี foot print ที่ภูเก็ต 10 กว่าปี พัฒนาโครงการประสบความสําเร็จไปประมาณ 20 โครงการแล้วแล้วยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่แล้วมีการประกาศยุทธศาสตร์การลงทุนในภูเก็ต ระยะเวลา 5 ปีว่าจะพัฒนาโครงการใหม่อีก 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท
- อย่างปีที่แล้วเปิดตัวคอนโดไปสองโครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี แล้วในปีนี้เองวางแผนที่จะเปิดอีก 3-4 โครงการ
- ตัวอย่าง โครงการแรกคือโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ชื่อว่า CANVAS เชิงทะเลถือเป็นโครงการแรกของแสนสิริในทําเลเชิงทะเล ซึ่งต้องบอกว่าโซนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในทําเลทอง ที่ได้รับความนิยมแล้วเป็นที่ต้องการอย่างมาก นอกจากนี้ วางแผนที่จะเปิดพูลวิลล่าด้วยในในโซนเชิงทะเลเหมือนกัน อย่างไรรอติดตามกัน
- โครงการถัดมาคือโครงการ The base Rise ซึ่ง The base ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสําหรับกลุ่ม Mediam End แล้วอยู่กับมายาวนานแล้ว แต่ว่าความพิเศษคือปีนี้จะมีการรีเฟรชแบรนด์ The base โฉมใหม่ในสไตล์ใหม่แล้วจะเปิดตัวโฉมใหม่โครงการแรกที่ภูเก็ตชื่อว่า The base Rise เป็นโครงการคอนโดสไตล์รีสอร์ทแล้วตั้งอยู่ใจกลางเมืองอยู่ใกล้กับเซ็นทรัลภูเก็ต
- ส่วนโครงการสุดท้ายคือจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ชื่อว่า SARANSIRI Kohkaew Retreat เป็นโครงการในทําเลเกาะแก้ว ซึ่งต้องบอกว่าในโซนเกาะแก้ว เราพัฒนาโครงการประสบความสําเร็จ ปิดโครงการไปแล้ว 4 โครงการ อันนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ 5 ในโซนเกาะแก้ว เป็นอีกหนึ่งทําเลศักยภาพสําหรับการอยู่อาศัยเพราะว่าเค้าจะมีเส้นทางลัดที่ สามารถเชื่อมต่อไปยังโซนต่างต่างของภูเก็ตได้ อยู่ใกล้กับโรงเรียนนานาชาติอย่างตัว Britannia International School ด้วยเลยทําให้ได้รับความนิยม
- ตัวเลขยอดขายและยอดโอน ยังสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจากระดับในช่วง 9,500 - 9,600 ล้านบาทในไตรมาสหนึ่ง ขึ้นมาอยู่ในช่วงประมาณ 10,400 - 10,700 ล้านบาทในไตรมาสสอง
- ยอดขายสะสมตอนนี้ผ่านมาแล้วประมาณ 8 เดือน มียอดขายสะสมรวมกัน 26,500 ล้านบาทคิดเป็น 60% ของเป้าหมายในปีนี้ที่ 45,000 ล้าน
- ส่วนยอดโอนมียอดรวมกันประมาณ 25,600 ล้านบาท ประมาณ 60% ของเป้าหมาย ที่ 43,000 ล้านเช่นกัน
- ซึ่งยังคาดว่าทั้งเป้าขาดแล้วเป้าโอนในปีนี้ จะยังสามารถบรรลุ Target ได้เนื่องจากว่ามีโครงการที่รอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีก ค่อนข้างมาก
- อย่างตอนนี้ผ่านมาสองเดือน กรกฎาคม สิงหาคม เพิ่งเปิดตัวโครงการใหม่เป็นโครงการคอนโดเล็ก ๆ เพียงแค่ 3 โครงการเท่านั้นเองเหลืออีก 20 กว่าโครงการที่จะเปิดตัว แล้วน่าจะมีบางส่วนที่เริ่มโอนได้ในปีนี้ด้วย บวกกันกับ Blacklog ที่มีอยู่ประมาณนึงแล้วสําหรับช่วงครึ่งปีหลัง
- ถัดมามาดูในส่วนของโครงการที่ยังเปิดขายอยู่กันบ้าง ตอนนี้มีโครงการที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด 128 โครงการ เป็นมูลค่าเหลือขายประมาณ 85,000 ล้านบาท
- โดยในจํานวนนี้ถ้าแบ่งราย Segment จะอยู่ในเซ็กเมนต์ Premium เยอะที่สุด 39% รองลงมาเป็น Affordable 35% และ Medium 26%
- จากสัดส่วนตรงนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกันกับ strategy ของปีนี้ ที่เราจะเปิด product ที่เป็น medium เพิ่มมากขึ้นเ พื่อที่จะมาบาลานซ์ตัว Available for Sale Portfolio ของเรา
- ส่วน Inventory ที่เป็น RTM Unit เป็น ready to move unit ตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 14,100 ล้านบา ทแบ่งเป็นของแนวราบ 8700 ล้านบาทแล้วคอนโดมิเนียม 5400 ล้านบาท ซึ่งของแนวราบที่ประมาณเกือบ 9000 ล้าน ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม น่าจะใช้เวลาในการ Turn Over ประมาณ 3-4 เดือน ส่วนคอนโดถือว่าค่อนข้างน้อยปีหนึ่งเราขายคอนโดได้เป็นหลักหมื่นล้าน ตรงนี้ต้องใช้เวลาอาจจะ 1-2 ปีในการ Ramp up สต็อกตัวนี้ขึ้นมา
- Backlog ที่เป็นโครงการของแสนสิริเองตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 15,200 ล้านบาทในช่วงปี 2024 ถึงปี 2027 โดยเป็น Backlog ของปีนี้ประมาณ 7,000 ล้าน ถ้าดูจาก Target ที่ตั้งรายได้จากการขายโครงการของSIRIในปีนี้ไว้ที่ 37,000 ล้านบาท วันนี้ Achieveไปแล้ว 76% ของ Target มาจากรายได้ที่รับรู้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ 17,400 ล้านบาท แล้วมาจากยอดโอนของไตรมาส 3 จนถึงปัจจุบันที่ประมาณ 4,000 ล้านแล้วก็ Backlogอีก 7,000 ล้านบาทเหลือที่ต้องทําเพิ่มขายและโอนเพิ่มในปีนี้อีก 8,700 ล้านบาท
- Backlog ที่เป็นโครงการ JV มีอยู่ทั้งหมด 3,300 ล้านบาทสําหรับปี 2024 จนถึง 2025 เป็น Backlog ของปีนี้ประมาณ 2,000 ล้าน
- โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากโครงการ JV ไว้ที่ 6,000 ล้านตอนนี้ทําไปได้แล้ว 93% เหลือที่ต้องเป็นเป้าที่ต้องทําเพิ่มอีกเพียงแค่ 400 ล้านเท่านั้น
- คอนโดมิเนียมที่จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 มีคอนโดที่จะโอนรวมรวมกันอีกเกือบ 10 โครงการ เลยส่วนใหญ่จะเป็น แบรนด์ dcondo และ แบรนด์ Vay
- แต่ว่าสิ่งที่อยากจะไฮไลท์คือจะเห็นได้ว่าในช่วงในปีนี้และช่วงครึ่งปีหลัง มีโครงการที่เป็น JV จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อโครงการ JV ต่าง ๆ เริ่มโอนกรรมสิทธิ์แปลว่าสามารถที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากโครงการ JV เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
- จริงจริงในปีนี้อะมีหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดอายุทั้งหมด 9,000 ล้านบาทโดยในช่วงต้นปีได้ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปแล้วมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท และมีการจ่ายคืนหุ้นกู้ที่ครบกําหนดไปแล้วด้วย
- สําหรับครึ่งปีหลังเหลือที่จะครบกําหนดอีกทั้งหมด 4,900 ล้านบาท โดยวางแผนที่จะใช้ เงินสดแล้วสภาพคล่องที่มีใ นการที่จะจ่ายคืนหุ้นกู้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในปีนี้
หลังจากการขายโรงแรม Standard แล้ว ปีหน้าจะไม่มีขาดทุนค่าบริหารโครงการแล้วใช่ไหม
- ต้องตอบว่าใช่ เพราะว่าตั้งแต่ไปเทค Take Over Standard มาค่าบริหา โครงการที่อยู่ภายใต้แบรนด์ The Standard รับรู้ขาดทุนตกไตรมาสละประมาณหนึ่งร้อยล้านถ้าเกิดสมมุติว่าดีลที่จะขายให้กับ Hyatt สามารถปิดได้ภายในเวลาที่กําหนด จะทําให้ไม่ต้องรับรู้ไอ้จากการขาดทุนไตรมาสละหนึ่งร้อยล้านนี้ นั่นหมายความว่าทั้งปีอะจะมี Upside ถึง 400 ล้าน
- ต้องตอบว่า คิดว่ายังโตขึ้นเมื่อเทียบ QoQ เพราะว่าสองไตรมาสแรกมียอดโอนตกไตรมาสละประมาณ 10,000 ล้าน ไตรมาส 3 ผ่านมาครึ่งทางแล้ว คาดว่าจะโอนได้มากกว่าไตรมาสสองที่ผ่าน มาตอนนี้ตั้ง Target ในการโอนไตรมาส3 ไว้ไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้าน
- มี Backlogที่เป็นโครงการของแสนสิริเองตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 15,200 ล้านบาท แล้วเป็น Backlogของโครงการ JV อีกประมาณ 3300 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวมทั้งหมดจะเป็น Backlogทั้งหมดประมาณ 18,500 ซึ่งใน 18,500 เป็น Backlog ที่จะรับรู้ได้ภายในปีเนี้ยประมาณเกือบ 9,000 ล้าน
- Inventory หรือ Ready to Move Unit ทั้งหมดประมาณ 14,000 ล้าน
- ขออนุญาตเท้าความถึงปีที่แล้วนิดนึงว่า เวลาวัด Rejection Rate จะดูว่าแอปพลิเคชันของลูกค้าที่ส่งให้กับสถาบันการเงินใน 100 แอป ถูก Reject กลับมาเท่าไหร่ ตั้งแต่ปีที่แล้ว Rejection rate ของอยู่ที่ประมาณ 11% ส่วนในปีนี้ Rejection rate ของเราโตขึ้นแต่ว่าเทียบแล้วไม่มาก ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน Rejection rate ของเราอยู่ที่ประมาณ 12%
- ถามว่าทําไมถึง Control Rejection rate ได้ดี ทั้งที่ในตลาด ในอุตสาหกรรมของเรา Rejection rate ค่อนข้างเป็นตัวกดดันทั้งอุตสาหกรรมอยู่ เนื่องจากว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเล็งเห็นแล้วล่ะว่าในกลุ่มที่เป็น mass ลงมาจนถึงกลุ่ม Affordable น่าจะมีปัญหาในเรื่องของ Credit Score เลยเน้นการ launch product ของโฟกัสไปยังกลุ่ม Mediam to High มากขึ้น ซึ่งในกลุ่ม High End ต้องบอกว่า Credit Score หรือ ศักยภาพในการกู้ของเค้าไม่ได้ลดต่พลง เลยเป็นเหตุผลที่ทําให้ Rejection rate ของเรายังสามารถควบคุมไว้ได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
- ตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 45,000 ล้าน จนถึงตอนนี้ YTD ประมาณ 26,500 ล้าน Achieveไปแล้ว 60% ในอีกไม่กี่เดือนที่เหลือคิดว่าอีก 40% น่าจะทำได้
- ตั้งใจเปิดทั้งปีที่ 46 โครงการ เปิดไปแล้ว 20 จะเหลืออีกประมาณ 26 โครงการ เป็นไตรมาส 3 จำนวน 13 โครงการ และไตรมาส 4 จำนวน 13 โครงการ
- รายได้ของคิดว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 5-10% ส่วนใหญ่คงมาจากโปรเจคเซลล์ที่มีการตั้งเป้าไว้ว่าจะโอนมากขึ้ นจากปีที่แล้วโอนไปที่ประมาณ 30,000 ปลาย ๆ ปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะโอนได้ไม่ต่ำกว่า 43,000 ล้าน ดังนั้น ส่วนใหญ่ของการเติบโตของรายได้ของคงมาจากโปรเจคเซลล์
- อย่างชูช์ ราชเทวี ตอนที่เปิดตัวไป เราทําพรีเซลไปได้อยู่ที่ประมาณ 20% กว่า แล้ว Ai Ari ทําไปได้แล้วประมาณ 65% The Standard Hua Hin อยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งปกติแล้วเวลาเปิดตัวแล้วอยู่ระหว่างก่อสร้างจะไม่ได้โฟกัสกับ Marketing Activity มากรอจนอาคารหรือตึกใกล้เสร็จแล้วตอนนั้นน่ะจะเริ่มทํากิจกรรมทางการตลาดเพื่อbuiltในเรื่องของพรีเซลให้มากขึ้น
- ต้องขออนุญาตยังเก็บไว้ก่อนเพราะว่าดีลของสแตนดาร์ดที่ทํากับไฮแอทไว้ยังมีคอมมิทเมนท์กันอยู่ว่ายังไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้มากไปกว่าที่เปิดเผยผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ แต่คาดว่าถ้าดีลจบภายในกันยายนคิดว่าจะมีกําไรพิเศษในระดับหนึ่งเลย
- จริง ๆ แล้วแสนสิริเองมีโปรดักต์ที่ cover ตั้งแต่บนสุดยันล่างสุดเลย ที่ผ่านมาหลายหลายท่านอาจจะรู้จักว่าโครงการ community ของที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคืออยู่ในโซนกรุงเทพกรีฑา และเตรียมเปิดในปีนี้คือโซนบางนาจะดูแล้วเป็น High End แต่ในความเป็นจริงมีการเปิด Community ที่อยู่ในระดับ Mediam to Lowลงมาไม่ว่าจะเป็นโซนบางพูนหรือว่าโซนราชพฤกษ์ 346 ในอนาคตจะมีโซนบางใหญ่ โซนบางนา กม.26 ต้องบอกว่า Community ทุกเซ็กเมนต์ผม
- ปีนี้เหลือหุ้นกู้ที่จะครบดีล 5,000 ล้าน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงทั้งปีมีครบดีล 9,000 ล้าน ตอนต้องบอกว่าไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งที่เหลือของปีนี้ เพราะว่าต้องบอกว่าเราเองมีสภาพคล่องไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้าน สภาพคล่องของเรามาจากไหน มาจาก Facility ต่าง ๆ ที่มีวงเงินรองรับจากสถาบันการเงินที่พร้อมเบิกได้ร่วมมากกว่าหมื่นล้าน แล้วยังมีพวก working cap อยู่อีกประมาณ 4,000-5,000 ล้านต้องบอกว่าด้วยสภาพคล่องขนาดนี้ ไม่จําเป็นต้องออกหุ้นกู้เลย คาดว่าจะไปออกอีกทีคงจะเป็นต้นปีหน้า
- เรามีสภาพคล่องถึงระดับ 15,000 ล้านมากกว่านั้น ต้องบอกว่าเวลาออกหุ้นกู้ถึงแม้จะออกไม่หมดหรือว่าไม่ต้องออกเลย คิดว่าสภาพคล่องมีพอรองรับกับหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดอยู่แล้ว
- เป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเป็นเป็น Target อันดับสองรองจากกรุงเทพ เพราะว่าในจังหวัดภูเก็ตมียังมี Opportunity อีกเยอะ โดยเฉพาะตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนที่เน้นเรื่องของจังหวัดท่องเที่ยว เน้นในเรื่องของการสร้างระบบสาธารณูปโภค สร้าง Infrastructure ภูเก็ตเป็นตลาดที่รองรับทั้ง Local และ นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ เลยเชื่อว่าโอกาสยังมีอีกเยอะ โดยเฉพาะแสนสิริเองให้ความสําคัญกับภูเก็ต โดยเราไปสร้าง Head Office ที่ภูเก็ตที่จะเปิดตัวภายในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้
- ต้องบอกว่าแบรนด์ NARASIRI ของเรา อย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เปิดตัว NARASIRI ที่กรุงเทพกรีฑา มีมูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านสามารถ Sold out ได้ภายในหนึ่งเดือน ต้องบอกว่ายังมี Demand ของ NARASIRI อยู่อีกเยอะ และนอกจากนั้น NIRINSIRI ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใกล้เคียงกับ NARASIRI คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงของครึ่งปีหลังอีกสองโครงการ ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะสามารถขาย Take up rate ไปได้ถึง 50% รวมทั้งสองโครงการ
- ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจอสังหาฯ ยังมีแรงกดดันในเรื่องของ Rejection rate ค่อนข้างสูง เนื่องจากว่าในเรื่องของหนี้สาธารณะเองที่อยู่ในระดับกว่า 90% ทําให้ความสามารถในการกู้ของตัว demand ค่อนข้างมีปัญหา แต่อย่างไรตาม ด้วยสินค้าของแสนสิริเอง เราโฟกัสให้น้ําหนักไปที่ทุก Segment และยังมี Product ของที่บาลานซ์อยู่ทั้ง Segment Mediam และก็ High end ซึ่งจะช่วยเป็นตัวหนึ่งที่ทําให้เราสามารถ Outperform จาก Industry ได้