Page 1 of 1
[ SIRI ] บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
Posted: Tue Nov 28, 2023 11:32 pm
by thanonlongtun_p
Oppday Q3/2023 SIRI แสนสิริ
VIDEO
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/6171
Re: [ SIRI ] บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
Posted: Mon Mar 18, 2024 6:00 pm
by thanonlongtun_p
Oppday year-end 2023 SIRI บมจ. แสนสิริ
VIDEO
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://listed-company-presentation.set ... h/vdo/7489
Re: [ SIRI ] บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
Posted: Wed Sep 04, 2024 5:51 pm
by thanonlongtun_p
Oppday Q2/2024 SIRI บมจ. แสนสิริ
VIDEO
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย
https://www.set.or.th/th/market/product ... y-snapshot
Re: [ SIRI ] บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
Posted: Mon Oct 07, 2024 9:04 pm
by thanonlongtun_p
20241106 SIRI-01.jpg (300.44 KiB) Viewed 714 times
20241106 SIRI-01.jpg (300.44 KiB) Viewed 714 times
สรุปคลิป Oppday Q2/2024 SIRI บมจ. แสนสิริ
ผลการดําเนินงาน Q2/2024
บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,615 ล้านบาทลดลง 4% จากปีก่อนสาเหตุของการลดลงมา จากหลายหลายปัจจัย
ปัจจัยแรกเป็นเรื่องของการรับรู้กําไรจากการขายที่ดินที่น้อยกว่าปีที่แล้ว อย่างปีที่แล้วรับรู้กําไรไปประมาณ 503 ล้านบาท แต่ว่าไตรมาสนี้รับรู้ที่ 89 ล้านบาท
ปัจจัยสอง คือรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่เป็นเจ้าของ ลดลงเนื่องจากว่ามีการปิดรีโนเวทโรงแรมหลายแห่ง ทั้งหมด 3 แห่ง มีโรงแรมที่นิวยอร์กปิดรีโนเวทไปในเดือนมกราคมคาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนนี้ และ อีกสองโรงอยู่ที่ประเทศไทยคือที่เขาใหญ่และหัวหินที่มีการปิดปรับปรุงในระหว่างไตรมาส เลยทําให้ไม่ 3 ารถที่จะรับรู้รายได้จากโรงแรมเหล่านี้ได้
ปัจจัยที่ 3 คือรายได้จากค่าบริหารธุรกิจหรือว่า Business management ที่ลดลง เนื่องมาจากว่าในช่วงไตรมาสสองปีที่แล้ว ได้เริ่มมีการบันทึก Incentive fee จากโครงการบูราสิริกรุงเทพกรีฑา ที่ทํา JV เป็นครั้งแรกซึ่งไม่เคยมีการรับรู้มาเลยจะมียอด Incentive fee ที่สะสมมาเป็นจํานวนหนึ่ง ในขณะที่ตามปกติแล้วอย่างในไตรมาสหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันจะมีรับรู้ Incentive fee ตามยูนิตที่มีการโอนจริงในไตรมาสนั้นนั้นเลยทําให้ Incentive fee ของไตรมาสสองปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วจะมีสัดส่วนที่ลดน้อยลง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรายได้จากการขายโครงการหรือว่าตัวโปรเจกต์เซลล์ยังคงเติบโตได้ 6% YoY อยู่ที่ 8,486 ล้านบาท
ส่วนตัว GP Margin จาก Core Business คือไม่ได้รวมรายการกําไรพิเศษต่างต่างจะอยู่ที่ 31% และ GP จาก Project sale อยู่ที่ 33.2%
ส่วนในฝั่งของค่าใช้จ่าย SG&A ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18.7% ของรายได้รวม
ส่วนแบ่งกําไรจากโครงการ JV ในไตรมาสนี้ ต้องบอกว่าเติบโตขึ้นมากกว่า 200% จาก 66 ล้านบาทในปีก่อนขึ้นมาเป็น 221 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเริ่มโอนโครงการ The Line Vibe ซึ่งเป็นโครงการ JV กับทางกลุ่ม BTS ที่เริ่มโอนในไตรมาสนี้ และกําไรสุทธิในไตรมาสสองอยู่ที่ 1,387 ล้านบาท ลดลง 14% จากปีก่อนปัจจัยหลักมาจากการลดลงของกําไรจากการขายที่ดินที่รับรู้น้อยกว่าปีก่อน
หากดูกําไรจากการดําเนินธุรกิจหลัก ยังคงเติบโตขึ้นที่ 8% อยู่ที่ 1,315 ล้านบาท
หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ณ สิ้นไตรมาสสองอยู่ที่ 79,892 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกู้อยู่ที่ 62% ส่วน Gearing อยู่ที่ 1.62 เท่า และ Net Gearing ที่ 1.56 เท่า
Average cost of fund ณ สิ้นไตรมาสสอง อยู่ที่ 4.15%
ผลการดําเนินงาน 1H/2024
รายได้รวมสะสมอยู่ที่ 19,784 ล้านบาท โตขึ้น 7% จากปีก่อน
GP Margin ทั้งในส่วนของ Core Business และ Project Sale ยังถือว่ารักษาระดับได้ทรงตัวจากปีก่อน
ค่าใช้จ่าย SG&A ในครึ่งปีแรก ต้องบอกว่าจะสูงกว่าที่ผ่านมาเนื่องมาจากว่าในช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมาของปีนี้มีการปรับสัดส่วนการตั้งสํารองในเรื่องของโบนัสของพนักงานเพิ่มมากขึ้น ตามผลการดําเนินงานของช่วงไตรมาสหนึ่งที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาสหลังจากนั้นอย่างไตรมาส 2 ไตรมาส 3 ตัว SG&A น่าจะกลับมาสู่ภาพปกติ อย่างงในไตรมาสสองว่านั่นคือกลับมาสู่ในระดับปกติแล้วที่ประมาณ 18% ของรายได้รวม
ส่วนแบ่งกำไรจาก JV โตขึ้น 144% มาจากการเริ่มโอนโครงการ The Line Vide
กําไรสุทธิของช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,702 ล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน เนื่องมาจากว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว มีการรับรู้กําไรเป็นกําไรพิเศษรวมกันประมาณพันกว่าล้าน มาจากกําไรจากการขายโรงเรียนสาธิตพัฒนา และกําไรจากการขายที่ดินเข้าโครงการ JV ด้วย
แต่ถ้าดูที่ตัว Core Profit ถือว่าเติบโตได้โตขึ้น 5% จากปีก่อน อยู่ที่ 2,408 ล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีแรกเราเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งหมด 20 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท
แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ คอนโดมิเนียม 8 โครงการ
2H2024 Highlight Projects
จากแผนการเปิดโครงการในปีนี้ว่าจะเปิดทั้งหมด 46 โครงการมูลค่า 61,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันนี้ยังยืนที่แผนนี้อยู่
จะแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 26 โครงการ คอนโดมิเนียม 20 โครงการ
โดยในปีนี้จะเพิ่มโฟกัสไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ตามเมืองที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หัวหิน หรือว่าพัทยา เป็นต้น
ในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 20 โครงการ ในครึ่งปีหลังมีโครงการที่เปิดตัวอีกถึง 26 โครงการ มูลค่ารวมรวมกันประมาณ 40,000 ล้านบาท
โครงการแรกจะเป็นCommunity แห่งใหม่ของชื่อว่า SANSIRI 10 EAST โดย Community นี้ ถือว่าเป็นการรวมตัวกันของบ้านเดี่ยวระดับ Premium Luxury ของแสนสิริเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งต้องบอกว่าโพรดักส์ในเซ็กเมนต์นี้ เป็นโปรดักส์ที่เป็นเซ็กเมนต์ที่ลูกค้าให้การยอมรับ และถือว่าเป็นหนึ่งใน Key Success ของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Branding ที่มีความแข็งแกร่ง หรือว่าคุณภาพเมื่อมีปัญหาไม่เคยทิ้งลูกค้า เรื่องของดีไซน์ที่มีการทํา R&D ตลอดเวลา ให้โพรดักส์ออกมาตรงใจกับกลุ่มลูกค้ามากที่สุดแล้วเรื่องสุดท้ายคือเรื่องที่สําคัญมากคือบริการหลังการขาย มี Plus Property ซึ่งดูแลการบริการหลังการขาย ดูแลในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางหรือว่าบรรยากาศโดยรอบให้โครงการยังดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ ตัวนี้เพื่อเป็นกาเพิ่มมูลค่าของตัวโครงการในอนาคต
Community SANSIRI 10 EAST นี้ จะตั้งอยู่ตรงบางนา ตราด กม.10 บริเวณแห่งนี้รายล้อมไปด้วยฟาซิลิตี้ต่างต่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ ศูนย์การค้าสนามกอล์ฟหรือว่าสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยพื้นที่ขนาด 165 ไร่ที่จะนํามาทําเป็น Community แห่งนี้วางแผนที่จะพัฒนาโครงการขึ้นมา 4 โครงการมูลค่ารวม ประมาณ 18,000 ล้านบาท
4 โครงการนี้ จะประกอบไปด้วยโครงการแรกคือบ้านแสนสิริ ซึ่งถือว่าเป็น Flagship โปรเจกต์ของเราเลย เป็นโปรดักซ์ที่อยู่ในระดับ Ultra Luxury ที่สุดในพอร์ตโฟลิโอของเรา ถัดมาจะเป็นบ้านเดี่ยว Luxury แบรนด์ใหม่ชื่อว่า SIRINSIRI อีกสองแบรนด์เป็นแบรนด์ที่ทุกท่านน่าจะคุ้นเคยกันคือ NARASIRI และ SETTHASIRI
โดยจะนําร่องเปิดตัว SETTHASIRI บางนา กม.10 ก่อนในปีนี้ แ
ถัดมาเป็นบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ ชื่อแบรนด์ว่า NARINSIRI เป็นบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง
ถามว่าทําไมถึงมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเติมเต็มช่องว่างทางด้านของราคาในพอร์ตโฟลิโอของอย่าง NARINSIRI จะอยู่เหนือกว่า SETTHASIRI แต่ว่าจะอยู่ใต้NARASIRI เพราะว่าอย่างตอนนี้ NARASIRI ราคา เริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท ส่วน SETTHASIRI จะอยู่ในช่วงประมาณ 15 ถึง 30 ล้าน ดังนั้น NARINSIRI จะเข้ามาเติมแกปราคาในช่วง 40-80 ล้านบาท
โดยปีนี้มีแพลนที่จะเปิด NARINSIRI สองโครงการคือ ในบริเวณกรุงเทพกรีฑาคอมมูนิตี้ของ และอีกโครงการนึงคือพระราม 9 กรุงเทพกรีฑา
Condominium
ปีนี้จะ Launch คอนโดถึง 20 โครงการ มีทั้งในกรุงเทพฯแล้วต่างจังหวัด
แต่อันนี้จะเป็นไฮไลท์ของโครงการในกรุงเทพฯ อย่างโครงการทางซ้ายมือจะชื่อว่า Via 61จะอยู่ที่สุขุมวิท 61 อยู่ใจกลางเมืองเลยใกล้กับซอยเอกมัย โดยโครงการนี้ถือว่าเป็นคอนโดในระดับพรีเมี่ยม แล้วมีเพียงแค่ 61 ยูนิตเท่านั้น
ส่วนโครงการทางด้านขวามือชื่อว่า Pynn Soonvijai ซึ่ง Pynn เป็นแบรนด์ใหม่ที่เราเพิ่งจะ Launch ไปในไตรมาสสองซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งโครงการมีอยู่ประมาณ 36 ยูนิตตอนนี้ ขายไปได้แล้ว 70-80% มาจึงมาต่อยอดแบรนด์ Pynn ในไตรมาส 3 โดย Pynn คอนเซ็ปต์คือจะเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise ขนาดไม่ใหญ่มีไม่กี่ยูนิตอย่าง Pynn Soonvijai จะมีเพียงแค่ 18 ยูนิตเท่านั้นเองตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนนานาชาติ Shrewbury และ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ปีนี้จะเพิ่มโฟกัสไปยังตลาดต่างจังหวัด ตามเมืองท่องเที่ยวมากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าภูเก็ตเป็นหนึ่งใน strategic location ของเรา เรามี foot print ที่ภูเก็ต 10 กว่าปี พัฒนาโครงการประสบความสําเร็จไปประมาณ 20 โครงการแล้วแล้วยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่แล้วมีการประกาศยุทธศาสตร์การลงทุนในภูเก็ต ระยะเวลา 5 ปีว่าจะพัฒนาโครงการใหม่อีก 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท
อย่างปีที่แล้วเปิดตัวคอนโดไปสองโครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี แล้วในปีนี้เองวางแผนที่จะเปิดอีก 3-4 โครงการ
ตัวอย่าง โครงการแรกคือโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ชื่อว่า CANVAS เชิงทะเลถือเป็นโครงการแรกของแสนสิริในทําเลเชิงทะเล ซึ่งต้องบอกว่าโซนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในทําเลทอง ที่ได้รับความนิยมแล้วเป็นที่ต้องการอย่างมาก นอกจากนี้ วางแผนที่จะเปิดพูลวิลล่าด้วยในในโซนเชิงทะเลเหมือนกัน อย่างไรรอติดตามกัน
โครงการถัดมาคือโครงการ The base Rise ซึ่ง The base ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสําหรับกลุ่ม Mediam End แล้วอยู่กับมายาวนานแล้ว แต่ว่าความพิเศษคือปีนี้จะมีการรีเฟรชแบรนด์ The base โฉมใหม่ในสไตล์ใหม่แล้วจะเปิดตัวโฉมใหม่โครงการแรกที่ภูเก็ตชื่อว่า The base Rise เป็นโครงการคอนโดสไตล์รีสอร์ทแล้วตั้งอยู่ใจกลางเมืองอยู่ใกล้กับเซ็นทรัลภูเก็ต
ส่วนโครงการสุดท้ายคือจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ชื่อว่า SARANSIRI Kohkaew Retreat เป็นโครงการในทําเลเกาะแก้ว ซึ่งต้องบอกว่าในโซนเกาะแก้ว เราพัฒนาโครงการประสบความสําเร็จ ปิดโครงการไปแล้ว 4 โครงการ อันนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ 5 ในโซนเกาะแก้ว เป็นอีกหนึ่งทําเลศักยภาพสําหรับการอยู่อาศัยเพราะว่าเค้าจะมีเส้นทางลัดที่ สามารถเชื่อมต่อไปยังโซนต่างต่างของภูเก็ตได้ อยู่ใกล้กับโรงเรียนนานาชาติอย่างตัว Britannia International School ด้วยเลยทําให้ได้รับความนิยม
ผลการดำเนินงาน
ตัวเลขยอดขายและยอดโอน ยังสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจากระดับในช่วง 9,500 - 9,600 ล้านบาทในไตรมาสหนึ่ง ขึ้นมาอยู่ในช่วงประมาณ 10,400 - 10,700 ล้านบาทในไตรมาสสอง
ยอดขายสะสมตอนนี้ผ่านมาแล้วประมาณ 8 เดือน มียอดขายสะสมรวมกัน 26,500 ล้านบาทคิดเป็น 60% ของเป้าหมายในปีนี้ที่ 45,000 ล้าน
ส่วนยอดโอนมียอดรวมกันประมาณ 25,600 ล้านบาท ประมาณ 60% ของเป้าหมาย ที่ 43,000 ล้านเช่นกัน
ซึ่งยังคาดว่าทั้งเป้าขาดแล้วเป้าโอนในปีนี้ จะยังสามารถบรรลุ Target ได้เนื่องจากว่ามีโครงการที่รอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีก ค่อนข้างมาก
อย่างตอนนี้ผ่านมาสองเดือน กรกฎาคม สิงหาคม เพิ่งเปิดตัวโครงการใหม่เป็นโครงการคอนโดเล็ก ๆ เพียงแค่ 3 โครงการเท่านั้นเองเหลืออีก 20 กว่าโครงการที่จะเปิดตัว แล้วน่าจะมีบางส่วนที่เริ่มโอนได้ในปีนี้ด้วย บวกกันกับ Blacklog ที่มีอยู่ประมาณนึงแล้วสําหรับช่วงครึ่งปีหลัง
ถัดมามาดูในส่วนของโครงการที่ยังเปิดขายอยู่กันบ้าง ตอนนี้มีโครงการที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด 128 โครงการ เป็นมูลค่าเหลือขายประมาณ 85,000 ล้านบาท
โดยในจํานวนนี้ถ้าแบ่งราย Segment จะอยู่ในเซ็กเมนต์ Premium เยอะที่สุด 39% รองลงมาเป็น Affordable 35% และ Medium 26%
จากสัดส่วนตรงนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกันกับ strategy ของปีนี้ ที่เราจะเปิด product ที่เป็น medium เพิ่มมากขึ้นเ พื่อที่จะมาบาลานซ์ตัว Available for Sale Portfolio ของเรา
ส่วน Inventory ที่เป็น RTM Unit เป็น ready to move unit ตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 14,100 ล้านบา ทแบ่งเป็นของแนวราบ 8700 ล้านบาทแล้วคอนโดมิเนียม 5400 ล้านบาท ซึ่งของแนวราบที่ประมาณเกือบ 9000 ล้าน ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม น่าจะใช้เวลาในการ Turn Over ประมาณ 3-4 เดือน ส่วนคอนโดถือว่าค่อนข้างน้อยปีหนึ่งเราขายคอนโดได้เป็นหลักหมื่นล้าน ตรงนี้ต้องใช้เวลาอาจจะ 1-2 ปีในการ Ramp up สต็อกตัวนี้ขึ้นมา
Backlog
Backlog ที่เป็นโครงการของแสนสิริเองตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 15,200 ล้านบาทในช่วงปี 2024 ถึงปี 2027 โดยเป็น Backlog ของปีนี้ประมาณ 7,000 ล้าน ถ้าดูจาก Target ที่ตั้งรายได้จากการขายโครงการของSIRIในปีนี้ไว้ที่ 37,000 ล้านบาท วันนี้ Achieveไปแล้ว 76% ของ Target มาจากรายได้ที่รับรู้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ 17,400 ล้านบาท แล้วมาจากยอดโอนของไตรมาส 3 จนถึงปัจจุบันที่ประมาณ 4,000 ล้านแล้วก็ Backlogอีก 7,000 ล้านบาทเหลือที่ต้องทําเพิ่มขายและโอนเพิ่มในปีนี้อีก 8,700 ล้านบาท
Backlog ที่เป็นโครงการ JV มีอยู่ทั้งหมด 3,300 ล้านบาทสําหรับปี 2024 จนถึง 2025 เป็น Backlog ของปีนี้ประมาณ 2,000 ล้าน
โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากโครงการ JV ไว้ที่ 6,000 ล้านตอนนี้ทําไปได้แล้ว 93% เหลือที่ต้องเป็นเป้าที่ต้องทําเพิ่มอีกเพียงแค่ 400 ล้านเท่านั้น
คอนโดมิเนียมที่จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 มีคอนโดที่จะโอนรวมรวมกันอีกเกือบ 10 โครงการ เลยส่วนใหญ่จะเป็น แบรนด์ dcondo และ แบรนด์ Vay
แต่ว่าสิ่งที่อยากจะไฮไลท์คือจะเห็นได้ว่าในช่วงในปีนี้และช่วงครึ่งปีหลัง มีโครงการที่เป็น JV จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อโครงการ JV ต่าง ๆ เริ่มโอนกรรมสิทธิ์แปลว่าสามารถที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากโครงการ JV เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
หุ้นกู้ที่จะครบกําหนดอายุ
จริงจริงในปีนี้อะมีหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดอายุทั้งหมด 9,000 ล้านบาทโดยในช่วงต้นปีได้ออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปแล้วมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท และมีการจ่ายคืนหุ้นกู้ที่ครบกําหนดไปแล้วด้วย
สําหรับครึ่งปีหลังเหลือที่จะครบกําหนดอีกทั้งหมด 4,900 ล้านบาท โดยวางแผนที่จะใช้ เงินสดแล้วสภาพคล่องที่มีใ นการที่จะจ่ายคืนหุ้นกู้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในปีนี้
Q&A
หลังจากการขายโรงแรม Standard แล้ว ปีหน้าจะไม่มีขาดทุนค่าบริหารโครงการแล้วใช่ไหม
ต้องตอบว่าใช่ เพราะว่าตั้งแต่ไปเทค Take Over Standard มาค่าบริหา โครงการที่อยู่ภายใต้แบรนด์ The Standard รับรู้ขาดทุนตกไตรมาสละประมาณหนึ่งร้อยล้านถ้าเกิดสมมุติว่าดีลที่จะขายให้กับ Hyatt สามารถปิดได้ภายในเวลาที่กําหนด จะทําให้ไม่ต้องรับรู้ไอ้จากการขาดทุนไตรมาสละหนึ่งร้อยล้านนี้ นั่นหมายความว่าทั้งปีอะจะมี Upside ถึง 400 ล้าน
แนวโน้มผลการดําเนินงานในช่วงไตรมาส 3 นี้จะเป็นอย่างไร
ต้องตอบว่า คิดว่ายังโตขึ้นเมื่อเทียบ QoQ เพราะว่าสองไตรมาสแรกมียอดโอนตกไตรมาสละประมาณ 10,000 ล้าน ไตรมาส 3 ผ่านมาครึ่งทางแล้ว คาดว่าจะโอนได้มากกว่าไตรมาสสองที่ผ่าน มาตอนนี้ตั้ง Target ในการโอนไตรมาส3 ไว้ไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้าน
Backlog ปัจจุบัน มีเท่าไหร่
มี Backlogที่เป็นโครงการของแสนสิริเองตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 15,200 ล้านบาท แล้วเป็น Backlogของโครงการ JV อีกประมาณ 3300 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวมทั้งหมดจะเป็น Backlogทั้งหมดประมาณ 18,500 ซึ่งใน 18,500 เป็น Backlog ที่จะรับรู้ได้ภายในปีเนี้ยประมาณเกือบ 9,000 ล้าน
บริษัทมีสินค้าพร้อมขายในมือมูลค่ารวมเท่าไหร่
Inventory หรือ Ready to Move Unit ทั้งหมดประมาณ 14,000 ล้าน
ปัจจุบันยอดปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทอยู่ในระดับที่เท่าไหร่
ขออนุญาตเท้าความถึงปีที่แล้วนิดนึงว่า เวลาวัด Rejection Rate จะดูว่าแอปพลิเคชันของลูกค้าที่ส่งให้กับสถาบันการเงินใน 100 แอป ถูก Reject กลับมาเท่าไหร่ ตั้งแต่ปีที่แล้ว Rejection rate ของอยู่ที่ประมาณ 11% ส่วนในปีนี้ Rejection rate ของเราโตขึ้นแต่ว่าเทียบแล้วไม่มาก ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน Rejection rate ของเราอยู่ที่ประมาณ 12%
ถามว่าทําไมถึง Control Rejection rate ได้ดี ทั้งที่ในตลาด ในอุตสาหกรรมของเรา Rejection rate ค่อนข้างเป็นตัวกดดันทั้งอุตสาหกรรมอยู่ เนื่องจากว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเล็งเห็นแล้วล่ะว่าในกลุ่มที่เป็น mass ลงมาจนถึงกลุ่ม Affordable น่าจะมีปัญหาในเรื่องของ Credit Score เลยเน้นการ launch product ของโฟกัสไปยังกลุ่ม Mediam to High มากขึ้น ซึ่งในกลุ่ม High End ต้องบอกว่า Credit Score หรือ ศักยภาพในการกู้ของเค้าไม่ได้ลดต่พลง เลยเป็นเหตุผลที่ทําให้ Rejection rate ของเรายังสามารถควบคุมไว้ได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ยอดพรีเซลล่าสุดที่เป็น YTD อยู่ที่เท่าไหร่ แล้วทั้งปีคาดว่าจะจบที่เท่าไหร่
ตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 45,000 ล้าน จนถึงตอนนี้ YTD ประมาณ 26,500 ล้าน Achieveไปแล้ว 60% ในอีกไม่กี่เดือนที่เหลือคิดว่าอีก 40% น่าจะทำได้
บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่กี่โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง แบ่งเปิดไตรมาสละกี่โครงการ
ตั้งใจเปิดทั้งปีที่ 46 โครงการ เปิดไปแล้ว 20 จะเหลืออีกประมาณ 26 โครงการ เป็นไตรมาส 3 จำนวน 13 โครงการ และไตรมาส 4 จำนวน 13 โครงการ
ภาพรวมในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายรายได้จะเติบโตเท่าไหร่แล้วจะมาจากส่วนไหนบ้าง
รายได้ของคิดว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 5-10% ส่วนใหญ่คงมาจากโปรเจคเซลล์ที่มีการตั้งเป้าไว้ว่าจะโอนมากขึ้ นจากปีที่แล้วโอนไปที่ประมาณ 30,000 ปลาย ๆ ปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะโอนได้ไม่ต่ำกว่า 43,000 ล้าน ดังนั้น ส่วนใหญ่ของการเติบโตของรายได้ของคงมาจากโปรเจคเซลล์
อยากจะให้อัพเดทพรีเซลของตัวโปรเจคใหญ่ ๆ เป็นอย่างไรบ้าง
อย่างชูช์ ราชเทวี ตอนที่เปิดตัวไป เราทําพรีเซลไปได้อยู่ที่ประมาณ 20% กว่า แล้ว Ai Ari ทําไปได้แล้วประมาณ 65% The Standard Hua Hin อยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งปกติแล้วเวลาเปิดตัวแล้วอยู่ระหว่างก่อสร้างจะไม่ได้โฟกัสกับ Marketing Activity มากรอจนอาคารหรือตึกใกล้เสร็จแล้วตอนนั้นน่ะจะเริ่มทํากิจกรรมทางการตลาดเพื่อbuiltในเรื่องของพรีเซลให้มากขึ้น
ไตรมาส 3 จะมีการรับรู้กําไรพิเศษจากการขายหุ้น Standard International หรือไม่
ต้องขออนุญาตยังเก็บไว้ก่อนเพราะว่าดีลของสแตนดาร์ดที่ทํากับไฮแอทไว้ยังมีคอมมิทเมนท์กันอยู่ว่ายังไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้มากไปกว่าที่เปิดเผยผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ แต่คาดว่าถ้าดีลจบภายในกันยายนคิดว่าจะมีกําไรพิเศษในระดับหนึ่งเลย
Community นอกจาก SANSIRI 10 EASTหรือว่าที่กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้แล้วจะมีการทําคอมมิวนิตี้ที่ไม่ใช่ High End บ้างหรือไม่
จริง ๆ แล้วแสนสิริเองมีโปรดักต์ที่ cover ตั้งแต่บนสุดยันล่างสุดเลย ที่ผ่านมาหลายหลายท่านอาจจะรู้จักว่าโครงการ community ของที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคืออยู่ในโซนกรุงเทพกรีฑา และเตรียมเปิดในปีนี้คือโซนบางนาจะดูแล้วเป็น High End แต่ในความเป็นจริงมีการเปิด Community ที่อยู่ในระดับ Mediam to Lowลงมาไม่ว่าจะเป็นโซนบางพูนหรือว่าโซนราชพฤกษ์ 346 ในอนาคตจะมีโซนบางใหญ่ โซนบางนา กม.26 ต้องบอกว่า Community ทุกเซ็กเมนต์ผม
ปีนี้บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้อีกหรือไม่
ปีนี้เหลือหุ้นกู้ที่จะครบดีล 5,000 ล้าน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงทั้งปีมีครบดีล 9,000 ล้าน ตอนต้องบอกว่าไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งที่เหลือของปีนี้ เพราะว่าต้องบอกว่าเราเองมีสภาพคล่องไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้าน สภาพคล่องของเรามาจากไหน มาจาก Facility ต่าง ๆ ที่มีวงเงินรองรับจากสถาบันการเงินที่พร้อมเบิกได้ร่วมมากกว่าหมื่นล้าน แล้วยังมีพวก working cap อยู่อีกประมาณ 4,000-5,000 ล้านต้องบอกว่าด้วยสภาพคล่องขนาดนี้ ไม่จําเป็นต้องออกหุ้นกู้เลย คาดว่าจะไปออกอีกทีคงจะเป็นต้นปีหน้า
บริษัทมีความกังวลต่อหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดในอี 1-2 ปีข้างหน้าหรือไม่ที่ปีละประมาณหมื่นล้าน ถ้าเกิดว่าออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไม่ได้จะทําอย่างไร
เรามีสภาพคล่องถึงระดับ 15,000 ล้านมากกว่านั้น ต้องบอกว่าเวลาออกหุ้นกู้ถึงแม้จะออกไม่หมดหรือว่าไม่ต้องออกเลย คิดว่าสภาพคล่องมีพอรองรับกับหุ้นกู้ที่จะครบกําหนดอยู่แล้ว
การแข่งขันในตลาดภูเก็ต ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเป็นเป็น Target อันดับสองรองจากกรุงเทพ เพราะว่าในจังหวัดภูเก็ตมียังมี Opportunity อีกเยอะ โดยเฉพาะตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนที่เน้นเรื่องของจังหวัดท่องเที่ยว เน้นในเรื่องของการสร้างระบบสาธารณูปโภค สร้าง Infrastructure ภูเก็ตเป็นตลาดที่รองรับทั้ง Local และ นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ เลยเชื่อว่าโอกาสยังมีอีกเยอะ โดยเฉพาะแสนสิริเองให้ความสําคัญกับภูเก็ต โดยเราไปสร้าง Head Office ที่ภูเก็ตที่จะเปิดตัวภายในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้
คาดหวังการตอบรับจากโครงการระดับบน อย่างเช่น NARASIRI NIRINSIRI ที่จะเปิดในปีนี้อย่างไรบ้าง
ต้องบอกว่าแบรนด์ NARASIRI ของเรา อย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เปิดตัว NARASIRI ที่กรุงเทพกรีฑา มีมูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านสามารถ Sold out ได้ภายในหนึ่งเดือน ต้องบอกว่ายังมี Demand ของ NARASIRI อยู่อีกเยอะ และนอกจากนั้น NIRINSIRI ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใกล้เคียงกับ NARASIRI คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงของครึ่งปีหลังอีกสองโครงการ ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะสามารถขาย Take up rate ไปได้ถึง 50% รวมทั้งสองโครงการ
ประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจอสังหาฯ ยังมีแรงกดดันในเรื่องของ Rejection rate ค่อนข้างสูง เนื่องจากว่าในเรื่องของหนี้สาธารณะเองที่อยู่ในระดับกว่า 90% ทําให้ความสามารถในการกู้ของตัว demand ค่อนข้างมีปัญหา แต่อย่างไรตาม ด้วยสินค้าของแสนสิริเอง เราโฟกัสให้น้ําหนักไปที่ทุก Segment และยังมี Product ของที่บาลานซ์อยู่ทั้ง Segment Mediam และก็ High end ซึ่งจะช่วยเป็นตัวหนึ่งที่ทําให้เราสามารถ Outperform จาก Industry ได้
ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=-fGNP--_O8c