สรุปคลิป Oppday Q1/2024 AAI บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ภาพรวม AAI
- AAI ก่อตั้งแต่ประมาณปี 2005 แล้วเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนปี 2022
- Market Cap อยู่ประมาณ 11,800 ล้านบาท
- มีโรงงานผลิตสองแห่งแห่งหนึ่งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาครประเทศไทยเป็นโรงงานของบริษัทเอง อีกแห่งนึงเป็นโรงงานของกิจการร่วมค้าที่บริษัทเปิดอยู่ที่ประเทศจีน
- ปัจจุบันมีพนักงานทั้งกลุ่มบริษัทรวมกันอยู่ที่ 4,040 คน โดยที่ประมาณ 85% เป็นแรงงานรายวัน
- กําลังการผลิตในปัจจุบัน มีกําลังการผลิตแบ่งเป็นกําลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกอยู่ที่ 56,000 ตัน กําลังการผลิตอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกอย่างที่ 17,500 ตัน มีกําลังการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มz]พลอยได้หรือปลาป่นอยู่ที่ประมาณ 6000 ตันต่อปี รวมถึงโรงงานที่เป็น JV ในประเทศจีนมีกําลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดอยู่ที่ 18,000 ตันต่อปี
- โรงงานของมีมาตรฐานคุณภาพในการผลิต รวมถึงได้รับรางวัลในเรื่องของ CAC มาตรฐานการกํากับดูแลกิจการรวมถึงการได้รับการยืนยันว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีแผนกลยุทธ์เรื่องของ ESG ที่ดีแล้วได้รับรางวัล Best Manged Company มาด้วย
- แม้รายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่แค่ประมาณ 7.1% แต่ว่ากําไรขั้นต้นของดีขึ้นมากถึง 138.6%
- ทั้งนี้ เนื่องมาจากอัตรากําไรขั้นต้นที่ดีขึ้นมาอยู่ที่ 20.8% จากการที่ยอดขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นในส่วนของยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นส่วนที่มีอัตรากําไรที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงไปในตลาดกลุ่มประเทศยุโรป
- ในขณะที่มียอดขายในกลุ่มของอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลงเนื่องจากว่าสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง กระทบต่อตลาดหลักที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้อยู่
- แล้วจากการที่มีรายได้จากอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีอัตรากําไรขั้นต้นที่เพิ่มสูงขึ้น ทําให้กําไรสุทธิของเพิ่มขึ้น 234.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน
- ทําให้กําไรต่อหุ้นของมาอยู่ที่ 0.11 บาทต่อหุ้น เทียบกับในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่อยู่แค่ประมาณ 0.30 บาทต่อหุ้นเท่านั้นเอง
- รายได้ 1,489 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ 1,391 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า แล้วมาเป็นอัตรากําไรขั้นต้นที่ทําได้อยู่ที่ 20.8% ทําให้กําไรขั้นต้นอยู่ที่ 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 130 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อน
- นอกจากนี้จากการที่มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายค่าใช้จ่ายในการบริหารทําให้มีกําไรจากการดําเนินงานอยู่ที่ 222 ล้าน ดีขึ้นมากมากโดยเฉพาะเมื่ออัตรากําไรสูงขึ้น ถึง 553% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน
- ในขณะเดียวกันมีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มมาอีก 21 ล้าน ลดลงเล็กน้อยถ้าเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ถือว่าเป็นการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนที่หลังจากที่ปรับนโยบายแล้วประสบความสําเร็จ เนื่องจากในภาวะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาท มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ และเรายังสามารถรักษาอัตรากําไรในส่วนนี้ได้ ถือว่าประสบความสําเร็จหลังจากที่มีการปรับนโยบาย
- ต้นทุนทางการเงิน จากการที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว IPO ไปแล้วมีการชะลอกําลังการผลิตชะลอแผนการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงปี 2023 ทําให้มีกระแสเงินสดอยู่ในระบบค่อนข้างเยอะ ทําให้มีรายรับสุทธิในส่วนนี้จากดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากธนาคาร รวมถึงดอกเบี้ยที่ได้รับจากการนําเงินไปให้บริษัทแม่กู้รวมเป็นรายได้สุทธิทางการเงินอยู่ที่ 11 ล้านบาท
- ภาษีอยู่ที่ 26 ล้านบาท คิดเป็นอัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ที่ 9.7% เป็นไปตามภาพที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากว่ายังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ในบางผลิตภัณฑ์ที่มีการลงทุนใหม่ ๆ แล้วลงทุนเพิ่มกําลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนปี 2023 มีการเพิ่มกําลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาด้วยเหมือนกัน าให้มีกําไรสุทธิสําหรับไตรมาสอยู่ที่ 242 ล้าน เพิ่มขึ้น 234.8% เมื่อเทียบกับ 72 ล้านในไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
- ถ้าจะหาเหตุผลที่ชัดเจนว่าทําไมอัตรากําไรถึงได้เพิ่มสูงขึ้น ต้องมาดูกันที่ยอดขายรายกลุ่ม จะเห็นว่าสัดส่วนรายได้ในไตรมาสนี้ที่มาจากรายได้อาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลงอย่างมีนัยยะสําคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน จะเห็นว่าจากที่ปีก่อนมีรายได้ส่วนนี้ถึง 25% แต่ว่าปีนี้เหลือแค่ประมาณ 14% ซึ่งเป็นกลุ่มที่อัตรากําไรต่ำกว่า เนื่องจากเป็น ในกลุ่ม comodity เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง
- จะเห็นว่า โดย Volume ภาพรวมลดลงเล็กน้อย แต่จะเห็นได้ว่ารายธุรกิจ
ยอดขายมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเ พิ่มมากถึงประมาณ 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าแล้วยังเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าหรือไตรมาส 4 ปี 2023 เกือบเกือบ 10% - ในขณะที่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน ปริมาณการขายลดลงถึง 43.4% ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 32.4%
- ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนน้อย มีรายได้ลดลงทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
- พอกลับมาดูที่ยอดขายที่เป็นรายได้จากการขายจะเห็นว่ารายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสกันปีก่อนหน้า 23.8% และเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 9% อันนี้แสดงให้เห็นว่ายอดขายในกลุ่ม Pet Food ค่อย ๆ ปรับดีขึ้นตามการฟื้นของตลาดการส่งออกประเทศเรา ในขณะที่ยอดขายถ้าดูเป็นบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้ามีการเติบโตมากกว่าเมื่อเทียบกับ volume เนื่องจากว่าในกลุ่ม Pet Food มีการปรับเปลี่ยนเรื่องของ product mix ข้างใน
- ในส่วนของตลาดยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่จะเห็นว่าสัดส่วนของตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มประเทศยุโรปกลับมาเร็วกว่าลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกาเล็กน้อยทําให้สัดส่วนดีขึ้น
- ในขณะที่กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะติดผนึกจะมีสัดส่วนของตลาดในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาเพิ่มขึ้น สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Middle East จะลดลง
- สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 5,844 ล้าน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เงินสดยังคงมีเพิ่มขึ้นแล้ว มีเงินให้กู้กับกิจการที่เกี่ยวข้องกันลดน้อยลง
- หนี้สิน 716 ล้าน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าทั้งนี้บริษัทยังไม่มีการใช้วงเงินกู้จากสถาบันทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินผู้ระยะสั้นหรือวงเงินกู้ระยะยาว เนื่องจากยังมีสภาพคล่องแล้วมีกระแสเงินสดอยู่ในระบบค่อนข้างเยอะ เป็นเหตุผลที่ทําให้ต้นทุนทางการเงินของค่อนข้างต่ำ รวมถึงมีศักยภาพและความพร้อมในการขยายกำลังผลิตในขณะที่ตลาดกลับมา
- ส่วนของผู้ถือหุ้น 528 ล้านบาท โดยที่เกือบทั้งหมดเป็นการเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการระหว่างไตรมาสที่ทําได้
- จากการที่มียอดขายเพิ่มขึ้น เงินทุนหมุนเวียนมีการใช้เพิ่มขึ้นจากในส่วนของสินทรัพย์ลูกหนี้การค้าที่มีการขยับเพิ่มขึ้น และเงินสดและสินทรัพย์อื่นที่มีการขยับเพิ่มขึ้น อาจจะมองว่าเงินทุนหมุนเวียนจะค่อนข้างสูง เนื่องจากมีกระแสเงินสดค่อนข้างสูงประมาณพันล้านบาท
- AR Days ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 62 วัน เนื่องจากว่าในกลุ่มของลูกค้ารายใหญ่ที่มีการให้เครดิตมียอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าในส่วนนี้ยังทําได้ดีมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
- ในขณะที่ Inventory Days อยู่ที่ 119 วันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากสินค้า Pet Food จะมีระยะเวลาในการผลิตค่อนข้างเพิ่มขึ้น รวมถึงในภาวะแบบนี้ที่ต้นทุนหลายหลายอย่างมีความผันผวน บริษัทมีนโยบายในการเก็บวัตถุดิบเพื่อสํารองให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อความมั่นคงในกระบวนการผลิตของบริษัทเอง ทําให้Inventory Days มีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หนีจากบริษัทเดียวกันในกลุ่มอุตสาหกรรรม
- AP Days จํานวนวันเจ้าหนี้การค้าอยู่ที่ 26 วัน
- อัตราส่วนสภาพคล่อง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของงบการเงิน รวมถึงสถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ที่ 8.1 ซึ่งเกาะอยู่ที่ระดับ 7- 8 มาตลอดทั้งปี
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน D/E Ratio 0.1 เท่า ต่ำมาก
- ROE ROA เริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้น คิดจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสสุดท้ายจะเห็นภาพที่พัฒนาการแล้วการปรับดีขึ้นของผลประกอบการของบริษัทได้ดีขึ้น
- ปัจจุบันถือว่าการพัฒนาของในส่วนที่ทําให้เราเองเป็น strategic partner กับลูกค้าประสบความสําเร็จ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า โดยที่ถือเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงสําหรับสุนัขและแมวที่ทำได้ในรูปแบบที่หลากหลาย ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นไปตามความต้องการและความนิยมของตลาด สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่เป็นอผลิตภัณฑ์ที่ให้สารอาหารครบถ้วน / ขนม นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตในส่วนที่เป็น Functional Product โดยที่ AAI ป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการรับรองให้สามารถผลิตอาหาร กรอบการรักษาโรคสําหรับสัตว์เลี้ยงได้ ซึ่งอาหารในกลุ่มนี้จะมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า จะต้องมีการศึกษามีผลงานวิจัยเข้ามาร่วมด้วย เพื่อความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ เป็นหนึ่งในความภูมิใจของที่สามารถเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว โรงงานสมุทรสาครมีกําลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเด็กอยู่ที่ 56,000 ตัน และมีโรงงานที่ชังตงสามารถผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดได้ 18,000 ตันซึ่งเป็นโรงงานของกิจการร่วมค้าที่ทํากับ Partner ในจีน
- ถ้าดูแยกสัดส่วนระหว่าง OEM Pet Food ของบริษัทกับในสัดส่วนของแบรนด์ เห็นว่าการเติบโตในไตรมาสที่หนึ่งมาจากการเติบโตของยอดขายสินค้าในกลุ่มตลาด OEM ซึ่งเป็นตลาดสําคัญของเรา มีการเติบโตอย่างมากโดยเฉพาะในส่วนที่ทํากับแบรนด์ที่เป็นแบรนด์หลักแล้ว เห็นภาพที่การเติบโตนี้จะค่อย ๆ เติบโตต่อขึ้นไปเรื่อย ๆ ในส่วนของตลาดOEM ถ้าดูกันที่ Volume จะเห็นว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 17.2% และเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่เกือบ 11% ถ้าดูเป็นรายได้เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน 25.3% แล้วเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเกือบ 9%
- ขณะที่ในกลุ่มของแบรนด์อันนี้อาจจะน่าผิดหวังนิดหน่อย เนื่องจากมีการเติบโตลดลงมีผลรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า แต่ว่าปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
- ภาพรวมรายได้ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาสสามปีที่แล้ว แล้วยังมั่นใจว่าจะยังค่อย ๆ เติบโตในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากตลาดและความคึกคักในกลุ่มของตลาด OEM ค่อนข้างมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันความต้องการในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ functional product ที่มีสรรพคุณที่เกี่ยวกับการรักษาโรค การดูแลสุขภาพ และในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์กลุ่มที่สามารถผลิตแล้วออกให้กับลูกค้ารายใหม่ อาจจะไม่ใช่รายใหญ่แต่เป็นลูกค้าใหม่รายนึงซึ่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ขนมแมวเลีย แต่ว่าเป็น functional เกี่ยวกับการป้องกันการเกิดคาบพลักในช่องปากของสัตว์เลี้ยง ได้รับความนิยมจากตลาดค่อนข้างมาก แล้วในอนาคตจะพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพื่อที่จะทําให้ยอดขายสามารถเติบโตแล้ว ทําให้ลูกค้าของสามารถเติบโตแล้วแข่งขันได้ในตลาดเช่นเดียวกัน ในไตรมาสที่ผ่านมามีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสิ้นอยู่เกือบ 62 รายการ เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแมว 42 รายการ เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสุนัข 20 รายการ ยังเห็นว่าตลาดแมวยังคงเป็นตลาดสําคัญอยู่ คนเลี้ยงยังยอมจ่ายค่าใช้จ่ายให้กับแมวค่อนข้างเยอะ
- ยอดขายมีการลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันในประเทศค่อนข้างมีการแข่งขันรุนแรงมากทีเดียว ประกอบกับมีแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดค่อนข้างเยอะ มีแต่ละแบรนด์มีการใช้งบในการทําโฆษณาค่อนข้างมาก ในขณะที่เราเองยังต้องการการปรับกลยุทธ์ ในเรื่องของการวางแผนการโฆษณา ทําให้รู้สึกว่าต้องกลับมาใจเย็นกับตรงนี้นิดนึง ในขณะที่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ มีความเห็นว่าผู้บริโภคในตลาดไทยเองมีการเคลื่อนย้ายจากแบรนด์ที่มีความพรีเมี่ยม ราคาสูง ไปหาผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่ามากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเองไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สําหรับตลาดในกลุ่มพรีเมี่ยมอยู่เนื่องจากยังคิดว่าโดยความที่เป็นบริษัทที่ทําผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมตอบโจทย์กับลูกค้าต่าง ๆ ในต่างประเทศทําไมจะทําผลิตภัณฑ์ดี ๆ ในแบรนด์ของเราเองไม่ได้
- ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจที่อยากเอามาพูดถึงสําหรับไตรมาสหนึ่ง จะเริ่มขายในไตรมาสสองนี้กําลังจะขาย แล้วถ้าสนใจติดตามได้ เป็นผลิตภัณฑ์มูสสําหรับลูกแมว มีส่วนผสมของนมแพะ ให้สารอาหารที่มีประโยชน์กับรูปแบบออกด้วยกันสองรสชาติ จะเป็นมูสทูน่ากับเป็นมูสรสแซลมอน
- ในขณะที่ในส่วนของยอดขายแบรนด์ในประเทศจีนจริงจริง ต้องขอเรียนว่ายังไม่ได้มีพัฒนาการไปในทิศทางที่น่าพอใจ แต่หลังจากที่เปลี่ยนทีมบริหาร มีการปรับกลยุทธ์ในการขาย ทีมบริหารใหม่เชื่อว่าการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ทําให้มองชูมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้า ได้ในครอบคลุมตลาดมากขึ้นนอกเหนือจากอาหาร จะเป็นจุดนึงที่เอ่อทําให้แบรนด์มองชู สามารถแย่ market share ในตลาดจีนออกมาได้โดยที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมาแล้วกําลังจะเปิดตัว จะเป็นผลิตภัณฑ์คล้ายกับของต่างประเทศ เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพในช่องปากของน้องหมาและน้องแมวโดยใช้สําหรับหยดลงไปในอาหารน้ําดื่มสําหรับน้อง รวมถึงมีการพัฒนาเรียกว่าสเปรย์สําหรับฉีดพ่นลดกลิ่นในช่องปากเป็นผลิตภัณฑ์ที่คาดหวังว่าจะกลับมาทําให้ตลาดในประเทศจีนมีพัฒนาการ มั่นใจว่าอันนี้เป็นทิศทางแล้วเป็นเป็นส่วนที่ทําจะทําให้พัฒนาการของธุรกิจของในประเทศจีนดีขึ้นในอนาคต
- จะเห็นว่าในส่วนของค่าใช้จ่ายทางการขายและการตลาดยังไม่ได้มีการขยับ มองว่าในสภาวะที่มีการแข่งขันภายในประเทศค่อนข้างสูงในขณะที่กําลังซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างจํากัด การใช้งบประมาณในส่วนนี้ควรใช้อย่างระมัดระวังแล้วใช้ในช่องทางที่ทําให้เกิดผลได้มากที่สุด
- สิ่งที่ยังทําอยู่จะเป็นเรื่องขอ Online Marketing การใช้ influencer รีวิวสินค้า แล้วมีการเพิ่มช่องทางในการโฆษณาสินค้าผ่านทางช่องทางTikTok ได้ผลตอบรับที่ดีพอสมควร มีความร่วมมือกับทางเซ็นทรัลนครปฐมในการที่จะทําให้ห้างเป็น pet friendly
- ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทูน่า พยายามมากขึ้นที่ทําให้สามารถไปโตในกลุ่มของอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกที่เป็นอาหารในกลุ่มอื่นเช่นพาสต้า ข้าวผัด รวมถึงอาหารในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพซึ่ง ห้ความสะดวกแล้วมีการใช้วัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากทูน่า
- ยอดขาย ไม่มีเทรนด์ ดํารงยอดขายในกลุ่มนี้โดยที่ต้องการให้ยอดขายในกลุ่มนี้สอดคลอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากบางครั้งยังมีการต้องใช้ผลิตภัณฑ์จากทางทูน่า เลือดปลา เศษเนื้อทูน่า เข้ามาผลิต ในขณะเดียวกันปัจจุบันมีการขยับไปใช้อย่างอื่นในการผลิต Pet Food มากขึ้น เพราะฉะนั้นความจําเป็นในเรื่องของการผลิตอาหารในกลุ่มทูน่าอาจจะไม่ได้มากนักแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อทําให้ยังมีศักยภาพในเรื่องของวัตถุดิบยังคงสัดส่วนในกลุ่มนี้อยู่แล้วพยายามขยายตลาดไปในกลุ่มผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทานอย่างอื่น
- จะเห็นว่าไตรมาสที่หนึ่ง มียอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ลดลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อนหน้า เพราะว่าในช่วงไตรมาสที่หนึ่ง ยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีการกลับมา ทําให้เองลดแรงกดดันในเรื่องของการหายอดขายจากสินค้าในกลุ่มนี้เข้ามา เราค่อนข้างจะเลือก ทําให้โดยทั่วโดยภาพรวมสําหรับอัตรากําไรของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกดีขึ้นเมื่อเทียบกับภาวะปกติ
- จะเห็นว่ายอดขายมีสัดส่วนของ Value Added เพิ่มขึ้นมาในกลุ่มนี้ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงส่งออก เป็นผลิตภัณฑ์อาหารสําหรับเด็กทารก เช่น ข้าวตุ๋นฝักทอง ตุ๋นมะเขือเทศ ทำบรรจุภัณฑ์ในรูปของพลาสติก Cup แล้วส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเริ่มส่งออกไตรมาสที่ไตรมาสที่หนึ่งเป็นไตรมาสแรกยอดอาจจะยังไม่สะเทือนซักเท่าไหร่ แต่ว่าเองมองว่าอันนี้เป็นความสําเร็จก้าวเล็กเล็กที่ทําให้มีตลาดที่เปลี่ยนไป นอกเหนือจากตลาดอาหารพร้อมรับประทานปกติ จะมีตลาดในส่วนของ อาหารเด็ดทารกเพิ่มเข้ามา
- ในส่วนของไตรมาสที่ผ่านมา เราทําไปได้ประมาณ 23% ของเป้าหมายปี แต่ในแง่ของอัตรากําไรทําได้ 20.8% อย่างที่บอกว่าในไตรมาสที่หนึ่งมีองค์ประกอบหลายตัวทีเดียวที่ทําให้กําไรเพิ่มสูงขึ้น
- ทั้งนี้มองว่าในช่วงที่เหลือของปีอัตรากําไรมีโอกาสที่จะย่อลงเนื่องจากสถานการณ์หลายหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบที่มีการขยับขึ้น โดยเฉพาะราคาไก่ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มว่าอาจมีโอกาสแข็งค่าในช่วงที่เหลือของปี
- ตอนนี้เองยังมองว่ายังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่เท่าเดิม ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อว่าเป้าในกลุ่ม pet food จะสามารถทําได้ มีแนวโน้มที่จะทําได้ดีกว่าเป้า ในขณะที่กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานยังมีความท้าทายที่จะทําให้ได้ตามเป้าอยู่ แต่ว่าไม่ได้เป็นข้อกังวล
- ในขณะที่อัตรากําไรโดยรวม จากสถานการณ์ที่ผ่านมาแม้จะคาดว่าจะกําไรในช่วงที่เหลือของปีนี้โอกาสย่อลง แต่ไม่ได้มองว่าจะย่อลงมากนัก เราคาดการณ์ว่าอัตรากําไรขั้นต้นสําหรับทั้งปีน่าจะทําได้อยู่ที่ประมาณ 17-18% ซึ่งดีกว่าเป้าที่คาดไว้ตอนแรก
- ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการลงทุนใหญ่ 2 โครงการ โครงการแรกจะเป็นการปรับปรุงอาคาร ขยายอาคารในส่วนที่เรียกว่าบรรจุหีบห่อ เพื่อรองรับทั้งกําลังการผลิตในปัจจุบัน แล้วการเติบโตของกําลังการผลิตในช่วงที่เหลือของปีตลอดจนปีหน้าด้วย ซึ่งโครงการนี้จะใช้งบลงทุนประมาณ 70 ล้าน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายนนี้และจะแล้วเสร็จให้ใช้งานได้ในช่วงไตรมาสหนึ่งปี 2025
- งบลงทุนจะเป็นงบต่อเนื่องบางส่วนใช้ในปีนี้บางส่วนอาจจะยังไปใช้ในปีหน้า
- อีกโครงการเชื่อว่าต้องเริ่มดําเนินการเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต เนื่องจากจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานกว่า คือเรื่องของการขยาย Automatic Warehouse แห่งที่สองของโรงงานคาดว่าจะมี Capacity อยู่ที่ 6,000 pallets ใช้งบลงทุนทั้งหมดไม่เกิน 400 ล้านบาท น่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีเป็นอย่างเร็ว คาดว่าจะเสร็จพร้อมใช้งานในช่วงประมาณไตรมาสหนึ่งปี 2026 ซึ่งน่าจะรับกับการเติบโตของยอดขายในอนาคต
- แผนกลยุทธ์ในระยะยาว LEVEL UP AAI
- ในปัจจุบันมีพัฒนาการแล้วมีความคืบหน้าในหลายส่วน
- เรื่องแรกจะเป็นเรื่องของการยกระดับองค์กรในส่วนของ ในการปรับโครงสร้างธุรกิจดําเนินการแล้วเสร็จไปแล้วการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว การขยายกําลังการผลิตที่เป็นแผน 3 ปีมีการดีเลย์ แต่จะเห็นว่าโดยสถานการณ์ที่ตลาดโดยเฉพาะในตลาด OEM มีการฟื้นแล้วกลับมาดําเนินแผนการขยายกําลังการผลิตแล้วคาดว่าน่าจะมีความคืบหน้าแล้วกลับมาเพิ่มกําลังการผลิตได้อย่างมากในช่วงปี 2026 เป็นต้นไป
- ในส่วนที่สองเป็นส่วนของการยกระดับสถานะของจากผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็น strategic partner เชื่อมั่นว่าในปัจจุบันถือเป็นคู่ค้าคนสําคัญของลูกค้ารายสําคัญของ ทําให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้วเมื่อตลาดพลิกฟื้นจะเห็นว่าการเติบโตของยอดขายกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว
- ในส่วนที่สาม การยกระดับแบรนด์ อันนี้อาจจะเป็นที่ทํายังทําได้ไม่ชัดเจน นักเนื่องจากต้องยอมรับว่าเองเติบโตมาจากธุรกิจ OEM เป็นหลัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากพัฒนาการของผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นถึงมุ่งมั่นแล้วความตั้งใจของเราที่ยังจะพยายามเติบโตในตลาดแบรนด์ของให้ได้ ให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงเหมือนกับที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ในระดับ Top50 ของของโลก
- ในส่วนสุดท้าย เรื่องของการยกระดับแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ในปีที่ผ่านมาAAI เองได้มีการเข้าร่วมโครงการพัฒนาการรายงานผลด้านความยั่งยืนของบริษัทกับทางตลาดหลักทรัพย์ ทําให้มีความเชื่อมั่นในแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนว่ามีความสอดรับกับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิ จรวมถึงสนับสนุนข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ที่ทําให้ AAI มีการมีความสามารถในการเติบโต พร้อมเผชิญกับความท้าทาย
ทิศทางผลงานในไตรมาสสอง มีโอกาสดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือไม่
- ตอบมั่นใจมากว่าต้องดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากว่าไตรมาสสองปีก่อนเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการแย่มาก อยู่ในช่วงของขาลงของตลาด OEM อาหารสัตว์เลี้ยงส่งออก จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นขาลงของตลาดส่งออกธุรกิจทุกอย่างเลย
- ถ้าบอกว่าดูกันในส่วนของเฉพาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เชื่อว่าไตรมาสสองรวมถึงไตรมาสต่อ ๆ ไปอาหารสัตว์เลี้ยงจะยังค่อยค่อยเติบโต ซึ่งหลักหลักยังคงเติบโตมาจากในกลุ่มของ OWM อย่างที่เรียนว่ามีการdevelopผลิตภัณฑ์ใหม่ใหม่กับลูกค้าค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มfunctional
- ต้องบอกว่าเราเองเชื่อว่า GPM ในไตรมาสหนึ่งสูงผิดปกติ ในธุรกิจที่มีธุรกิจหลักใหญ่เป็น OEM อัตรากําไรในระดับ 20% เชื่อว่าสูงไม่ใช่ไม่ใช่ทําได้โดยภาวะทั่วทั่วไป
- แต่ว่าถ้าถามถึงแนวโน้มไตรมาสสอง จริงจริงมองแนวโน้มของไตรมาสสองค่อนข้างดี แต่ว่าอาจจะมีข้อกังวลในบางเรื่อง เช่นในไตรมาสสองจะมีวัตถุดิบบางตัวที่เป็นวัตถุดิบสําคัญที่มีต้นทุนสูงขึ้น เรื่องของอัตราการแลกเปลี่ยนในไตรมาสสองที่ค่อนข้างผันผวน ยังเชื่อว่าไตรมาสสองน่าจะมีทรงไปในทิศทางที่เงินสหรัฐฯจะอ่อนค่าลงบาทแข็งค่าขึ้น กระทบกับ GPM แต่ว่าเชื่อว่าน่า GPM จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังดีอยู่เนื่องจากว่าสัดส่วนของยอดขายระหว่างอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานน่ะน่าจะยังดีเหมือนกับไตรมาสหนึ่งหรือกระทั่งอาจจะดีกว่า
- แยกเป็น 2 ส่วน ปัจจุบันมีการส่งเซลล์ รวมถึงผู้บริหารระดับสูง ไปพบกับลูกค้าในต่างประเทศเป็นครั้งคราวแล้วมีการส่ง ทีมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของไปดูงานในต่างประเทศด้วย เพื่อให้ทราบถึงเทรนด์แล้วแนวโน้มต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นที่มาของการที่ทีม R&D สามารถกลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับความต้องการของแบรนด์ ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบัน อย่างที่บอกว่าfunctional food ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก
- มีการ develop ผลิตภัณฑ์ตรงนี้อย่างต่อเนื่อง การที่โรงงานของได้รับใบอนุญาตสามารถผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มที่เป็นอาหารประกอบการรักษาโรคได้ ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดใหม่ที่จะไป แต่ว่าอาจจะไม่จําเป็นต้องไปกับลูกค้ารายใหม่ อาจจะเป็นลูกค้ารายเก่าซึ่งถือว่าลูกค้ารายใหญ่ในปัจจุบันที่เป็น strategic partner รวมถึงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรามีศักยภาพที่จะไปได้ทุกตลาด แต่ว่าความสามารถและศักยภาพของเราเองที่จะต้องวิ่งให้ทันแล้วสามารถตอบสนองความต้องการของเค้าได้ เพื่อให้เค้าไม่ไปไหน อยากจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน อยากจะผลิตไรสร้างความน่าเชื่อถือแล้วความไว้วางใจกับเค้า ให้เค้าเติบโตตลาดของเค้าร่วมกับ อันนี้ทําให้เราสามารถเข้าไปในตลาดใหม่ ๆ เข้าไปในตลาดต่างประเทศ
- ในขณะที่ในส่วนของแบรนด์ เราเองมีการหารือ Local Distributor ในประเทศต่าง ๆ ที่ดูแล้วมีโอกาสในการที่จะนําแบรนด์ของเราไปจําหน่ายในประเทศนั้น ๆ ที่ผ่านมามีการทดลองนําไปจําหน่ายในไต้หวัน ในซาอุดิอาระเบีย อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะนึงในการดูผลตอบรับรวมถึงดูโอกาสในการขยายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านั้นว่าแบรนด์มองชูจะมีโอกาสแค่ไหน